ริมฝั่งเจ้าพระยา
โดย...สุนันท์ ศรีจันทรา
การทำหน้าที่เป็นคนกลาง ดำเนินการเสวนาเรื่อง “การปฏิรูปพลังงาน” ทำให้หลวงปู่พุทธะอิสระ แห่งวัดอ้อน้อย จังหวัดนครปฐม ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะการจัดเสวนารอบสอง ในประเด็นพลังงานทางเลือก
ข้อหาที่ถาโถมใส่พลวงปู่พุทธอิสระคือ ความไม่เป็นกลาง การไม่เปิดโอกาสให้ภาคประชาชนได้ซักถามมากนัก โดยมักตัดบท หรือแม้แต่การใช้คำว่า “ อย่ามาหาเสียง” กับนักต่อสู้เพื่อปฏิรูปด้านพลังงาน ขณะที่ให้เวลาฝ่ายปตท.อธิบายชี้แจงมากกว่า
หลายคนตั้งคำถาม หลวงปู่พุทธะอิสระเปลี่ยนไปหรือไม่ ยืนอยู่ข้าง ปตท.แล้วหรือเปล่า ได้รับใบสั่งจากลูกศิษย์ลูกหานายทหารใน คสช.หรืออย่างไร
เข้าใจได้ในความรู้สึกของนักต่อสู้ภาคประชาชนที่รณรงค์การปฏิรูปพลังงาน เพื่อความเป็นธรรมของประชาชนผู้บริโภค เพราะตั้งความหวังกับเวทีเสวนาไว้สูง มอบความไว้วางใจในบทบาทหลวงปู่พุทธะอิสระโดยไม่มีข้อกังขา แต่กลับต้องผิดหวัง
เพราะบทบาทบนเวทีเสวนาของหลวงปู่พุทธะอิสระเปลี่ยนไปมาก ไม่เหมือนคนที่เคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่เพื่อปฏิรูปพลังงานมาด้วยกัน
แต่ควรเผื่อใจให้หลวงปู่ไว้บ้างเหมือนกัน อย่าด่วนตั้งข้อหาที่รุนแรงเกินไป เพราะจะกลายเป็นการทำลายน้ำใจมหามิตรร่วมอุดมการณ์
หลวงปู่ไม่ได้ปิดหูปิดตา ไม่ยอมรับรู้เสียงสะท้อน แต่เปิดกว้างคำต่อว่าต่อขาน และยืนยันความเป็น “พระ”ที่ยึดประโยชน์สุขของส่วนรวม
ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นกับการทำหน้าที่ ผู้ดำเนินการเสวนาบนเวทีการปฏิรูปพลังงาน ไม่เข้าใจว่า ทำไมชิงตัดบทคำถามจากภาคประชาชน และคำว่า “อย่ามาหาเสียง” หลุดจากปากของหลวงปู่ฯ ได้อย่างไร
แต่พลาดพลั้งเพียงครั้งเดียว จะตัดสินหลวงปู่พุทธะอิสระเชียวหรือ
ไม่ใช่เพียงไม่กี่ช่วงเวลา ไม่กี่วันหรือไม่กี่เดือน แต่หลายปีที่หลวงปู่พุทธะอิสระบากบั่น บำเพ็ญตน เป็นสมณะเพศที่ยืนหยัดเคียงข้างประชาชน โดยเฉพาะการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของมวลมหาประชาชนกลุ่ม กปปส. ซึ่งหลวงปู่ชูธงร่วมเป็นแกนนำ
ปักหลักขับไล่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรอยู่ถนนแจ้งวัฒนะ ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายของการต่อสู้ และเป็นอีกเวทีหนึ่งที่ตกเป็นเป้าหมายการทำลายล้างมากที่สุด
ทั้งห่ากระสุนนานาชนิด ทั้งปะทัดยักษ์ ระเบิดปิดปอง หรือเอ็ม 79 กระหน่ำไม่ยั้ง เป้าหมายเอาชีวิต แต่หลวงปู่ก็ไม่สะทกสะท้านกับกลุ่มโจรใจอำมหิต
แม้ต้องรบกับพระจีวรแดง ถูกยัดเยียดข้อหามากมาย และแม้ถูกโจมตีบทบาทความเป็นพระสงฆ์ที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่หลวงปู่ไม่เคยแสดงความท้อแท้ถอดใจ
พระที่มีลูกศิษย์ลูกหาศรัทธามากมาย ผ่านความเป็นความตาย ผ่านการจองล้างจองผลาญ แม้แต่การตามรังควานถึงวัด และแสดงจุดยืนเคียงข้างประชาชนมายาวนาน เป็นไปได้หรือที่จะเปลี่ยนจุดยืนตัวเอง ไม่ว่าเพื่ออะไรอื่นก็ตาม
การต่อสู้ทางการเมืองมีหลายมิติ จะใช้มิติการปฏิรูปพลังงาน มาลบล้างอุดมการณ์ทางการเมืองที่ยาวนานของหลวงปู่ในทุกมิติฯ หรือ
ปฏิกิริยาความไม่พอใจ ข้อข้องใจในจุดยืนที่พุ่งเข้าใส่ฯ คงทำให้หลวงปู่ฯต้องทบทวนบทบาทบ้างเหมือนกัน และอาจมีคำถามกับตัวเอง อาตมาพลาดในจุดไหน ญาติโยมจึงลดความศรัทธาถึงขนาดนี้
อุดมการณ์การต่อสู้ภาคประชาชนมีบรรทัดฐานเข้มข้น จะเพียงการประกาศจุดยืนเท่านั้นไม่พอ แต่ต้องปฏิบัติตนโดยไม่มีข้อด่างพร้อย ปราศจากข้อสงสัยใดๆ ต้องยืดหยัดอย่างแน่วแน่ยาวนาน
พลาดนิดผิดหน่อย ทำให้เกิดข้อสงสัยในจุดยืนหรือพฤติกรรม จะถูกวิพากษ์ยับเยิน ถูกตั้งข้อกล่าวหาง่ายๆ แต่เป็นเรื่องที่ดี
เพราะนักอุดมการณ์จอมปลอมมีเยอะ เจอะเจอกันแล้วตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สังคมถูกนักอุดมการณ์จอมปลอมหลอกมามากแล้ว จึงไม่ควรไว้ใจใครง่าเกินไป แต่ก็ไม่ควรเร่งสรุปว่า ใครของจริงของปลอม ใครเปลี่ยนจุดยืนไปแล้ว ถ้ายังไม่มีบทพิสูจน์ที่แน่ชัด
เพราะการด่วนสรุป อาจเป็นการขับไล่ไสส่งมหามิตรร่วมอุดมการณ์ที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาด้วยกัน
มาตรฐานความเป็นบุคคลของประชาชนถูกตั้งไว้สูงมาก แตกต่างจากบุคคลจากแวดวงการเมือง เพราะผิดซ้ำผิดซาก พฤติกรรมอุบาทว์ขนาดไหน ยังลอยหน้าลอยตาในสังคมได้
แต่นักต่อสู้ของประชาชน ต้องประพฤติตนเหมือนพระที่บรรลุขั้นอรหันต์ จุดยืนต้องนิ่ง บทบาทแกว่งไม่ได้ มีพฤติกรรมที่ชวนสงสัยเพียงเล็กน้อย ถูกรุมวิพากษ์ยับ เช่นเดียวกับที่หลวงปู่พุทธะอิสระกำลังเผชิญอยู่-สัญญาณเตือนที่มวลมิตรส่งไป หลวงปู่พุทธะอิสระรับรู้แล้ว และเชื่อว่า หลวงปู่ฯจะต้องทบทวนบทบาทเหมือนกัน
วิพากษ์พอหอมปากหอมคอ คงยอมรับกันได้ทุกฝ่าย อย่าถึงขั้นตัดสินจุดยืนกันเลย ถึงขั้นตั้งข้อกล่าวหากันก็เกินไป คุยกับผู้บริหารปตท.เพียงไม่กี่ครั้ง หลวงปู่ฯ จะไม่เปลี่ยนไป เหมือนที่ใครๆ กลัวกันจริงหรือ
เป็นไปได้หรือที่หลวงปู่ฯ จะหันหน้าเข้า ปตท. และหันหลังให้ประชาชนที่นอนกลางดินกินกลางถนน เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายด้วยกัน
คนดีๆ ที่ยืนอยู่ฝ่ายคุณธรรมหายากขึ้นทุกที มีแล้วต้องช่วยๆ กันรักษาน้ำใจ กันไว้หน่อย อย่าหักหาญทำลายกันเพียงแค่ข้อสงสัยเลย
