ญี่ปุ่นตบเท้าล็อบบี้ขอให้ไทยลดภาษีนำเข้ารถยนต์ขนาดเกิน 3000 ซีซี พร้อมให้เปิดโควตานำเข้าเหล็กคุณภาพสูงเพิ่ม “จักรมณฑ์” ปัดข้อเสนอเหตุพบญี่ปุ่นทำตามข้อตกลงแลกเปลี่ยนพัฒนาบุคลากรไม่เต็มที่แถมโยนให้กระทรวงการต่างประเทศเจรจาต่อ ขณะที่มองเป้าผลิตรถในไทย 3 ล้านคันปี 2560 อาจไม่ง่าย ต้องดูทิศทางตลาดในและต่างประเทศ
นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยหลังการให้นายไดชิโระ ยามากิวะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม ประเทศญี่ปุ่น เข้าพบ เมื่อวันที่ 22 ก.ย. ว่า ญี่ปุ่นได้ขอเจรจาลดภาษีนำเข้ารถยนต์ขนาดมากกว่า 3000 ซีซีภายใต้กรอบความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ซึ่งปัจจุบันเก็บอยู่ 60% จากก่อนหน้าไทยเก็บ 80% อย่างไรก็ตาม ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าวที่ผ่านมาญี่ปุ่นจะต้องแลกเปลี่ยนการพัฒนาบุคลากรและฝีมือแรงงานในอุตสาหกรรมดังกล่าวให้แก่ไทยแต่พบว่าไม่เป็นไปตามเป้าหมายนัก ดังนั้นจึงเห็นว่าการเจรจาต้องอยู่บนพื้นฐานที่สามารถชี้แจง
“รัฐบาลได้กำหนดให้ทางกระทรวงการต่างประเทศเจรจาการค้า เรื่องนี้คงจะต้องเป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ แต่เราคงจะเป็นฝ่ายให้ข้อมูลทั้งหมด ซึ่งภายใต้กรอบ JTEPA ไทยเองก็ลดภาษีนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ให้ไปแล้ว และต่อมาก็ลดภาษีรถยนต์ขนาดมากกว่า 3000 ซีซี ตั้งแต่ปี 2553 มาไทยเองก็สูญเสียรายได้จากภาษีคิดเป็นเงินประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท แต่สิ่งที่ไทยได้รับในแง่ของการเทรนด์ทรัพยากรมนุษย์ แรงงานฝีมือตีราคาไม่ถึง 100 ล้านบาท ซึ่งแม้ว่าจะตีเป็นเงินไม่ได้แต่ก็ขอให้รู้สึกว่าได้อะไรกลับมาบ้าง” นายจักรมณฑ์กล่าว
นอกจากนี้ ทางญี่ปุ่นได้ขอเจรจาที่จะเพิ่มปริมาณการนำเข้าเหล็กคุณภาพสูงภายใต้กรอบ JTEPA ที่ปกติจะเจรจาปีต่อปี ซึ่งในปี 2557 ญี่ปุ่นมีโควตาในการนำเข้า 1.2 ล้านตัน โดยทางญี่ปุ่นยังไม่ได้แจ้งปริมาณเหล็กในการนำเข้าว่าต้องการเท่าใดแน่ ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมจะต้องให้กระทรวงพาณิชย์ไปเจรจาในรายละเอียด โดยนับตั้งแต่ปี 2550 ถึงครึ่งปีแรกปีนี้ไทยสูญเสียรายได้จากการยกเว้นภาษีนำเข้าเหล็กคุณภาพสูงประมาณ 5,974 ล้านบาท
นายจักรมณฑ์ยังกล่าวถึงเป้าหมายการผลิตรถยนต์ปี 2558 ว่า คาดว่าการผลิตรถยนต์จะมีปริมาณที่สูงกว่าในปี 2557 ที่คาดว่าจะอยู่ในระดับ 2-2.1 ล้านคัน และการผลิตก็จะกลับมาสู่การเติบโตในระดับปกติมากขึ้นภายหลังจากหมดโครงการรถคันแรก อย่างไรก็ตาม เป้าหมายสำหรับการผลิตรถยนต์ปี 2560 ที่กำหนดเป้าหมายสู่ระดับ 3 ล้านคันนั้นก็ยอมรับว่าอาจเป็นไปได้แต่ก็คงไม่ง่ายนักเนื่องจากจะต้องดูภาวะตลาดทั้งในประเทศ และต่างประเทศประกอบด้วย