“ล็อกซเล่ย์” เชื่อมือ “บิ๊กตู่” เดินหน้าประเทศไทย ดัน GDP โต 4-5% ในปี 58 ขยับรุกธุรกิจ “เทรดดิ้ง” เต็มสูบทั้งในและต่างประเทศ มั่นใจศักยภาพด้านการกระจายสินค้ากว่า 5 หมื่นจุดทั่วประเทศ เร่งผลิตสินค้าเฮาส์แบรนด์ เปิดแฟรนไชส์ร้านอาหารญี่ปุ่น รุกธุรกิจอู่ซ่อมรถยนต์สมัยใหม่ “ซ่อมเสร็จใน 1 วัน” หวัง 5 ปีเพิ่มรายได้อย่างน้อย 1 เท่าตัวจากที่ทำได้ 4.3 พันล้านบาทในปี 57 คิดเป็น 27% จากรายได้รวม 1.7 หมื่นล้านบาท
นายสุรพันธ์ ภาษิตนิรันดร์ กรรมการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทยในปี 2558 มีแนวโน้มในทิศทางที่ดีขึ้น หลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องจากขณะนี้เริ่มมีสัญญาณที่ดีหลายๆ ด้าน ทั้งการลงทุนของรัฐบาลในโครงการเมกะโปรเจกต์ต่างๆ การลงทุนจากต่างชาติ การส่งออกและการท่องเที่ยว รวมถึงความพร้อมในการเปิดเขตประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จึงมั่นใจว่ากำลังซื้อภาคประชาชนจะเริ่มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มี GDP เติบโตขึ้นประมาณ 4-5%
บริษัทคาดว่าในปี 2557 จะสามารถทำรายได้รวมประมาณ 1.6-1.7 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2556 ซึ่งมีรายได้รวมประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาท จาก 3 ธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจด้านเทคโนโลยีและสารสนเทศ รวมถึงงานโครงการต่างๆ (IT & Project Business) ด้วยสัดส่วนประมาณ 65% ธุรกิจเทรดดิ้ง (Trading Business) ประมาณ 27% และธุรกิจภาคบริการ (Service Business) 8% นอกจากนี้ยังมีรายได้อีกส่วนหนึ่งจากการร่วมทุนกับบริษัทข้ามชาติรายอื่นๆ อีกด้วย (Joint Venture Business)
“จากปัจจัยบวกด้านต่างๆ ที่มีสัญญาณในทางที่ดีขึ้น จึงทำให้บริษัทฯ เตรียมแผนงาน 5 ปีด้วยการให้ความสำคัญในกลุ่มธุรกิจเทรดดิ้งมากเป็นพิเศษ โดยมุ่งหวังว่าจะมีอัตราการเติบโตขึ้นไม่ต่ำกว่าปีละ 15% ติดต่อกันอย่างน้อย 3 ปี และสามารถทำรายได้เพิ่มขึ้น 1 เท่าตัวภายใน 5 ปี หลังจากที่มีอัตราเติบโตต่อเนื่องปีละประมาณ 10-13% โดยปี 2556 สามารถทำรายได้ประมาณ 3.9 พันล้านบาท และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.3 พันล้านบาทในปี 2557”
นายสุรพันธ์กล่าวด้วยว่า บริษัทฯ มั่นใจในโอกาสของธุรกิจเทรดดิ้งเพราะมีศักยภาพหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะในเรื่องของเครือข่ายจุดขายและกระจายสินค้าทั้งในส่วนของร้านโชวห่วย คอนวีเนียนสโตร์ โมเดิร์นเทรด และอื่นๆ ซึ่งมีมากกว่า 5 หมื่นแห่งทั่วประเทศ ทั้งยังมีเครือข่ายในประเทศจีนอีกกว่า 2 พันแห่ง ประเทศเวียดนามประมาณ 175 แห่ง และกำลังเพิ่มช่องทางในประเทศอื่นๆ เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียน เช่น ประเทศพม่า กัมพูชา อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์
“ตามแผนขยายธุรกิจเทรดดิ้งของเรายังจะมุ่งเน้นให้ความสำคัญต่อตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะตลาด CLMV + 1 คือ กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม และจีน หลังจากใช้เวลาศึกษาตลาดประมาณ 2-3 ปีจนมีการจัดจำหน่ายสินค้าในประเทศเหล่านี้เป็นจำนวนมาก โดยสินค้าบางแบรนด์และบางประเภทก็เป็นการจำหน่ายในบางประเทศและไม่มีจำหน่ายในประเทศไทย โดยคาดว่าภายใน 5 ปีจะสามารถทำรายได้จากต่างประเทศได้ประมาณ 1 พันล้านบาท จากปัจจุบันซึ่งมีเพียง 200-300 ล้านบาท”
บริษัทฯ ยังมีแผนพัฒนาและผลิตสินค้าเฮาส์แบรนด์เป็นของตัวเองในลักษณะการร่วมทุนจากปัจจุบันที่ดำเนินธุรกิจในลักษณะ OEM โดยปัจจุบันเริ่มทำตลาดแล้ว 3 ประเภท คือ น้ำส้ม 25% น้ำกล้วย และน้ำยาล้างจาน จากนั้นจะมีการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อื่นๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจะเน้นสินค้าเพื่อสุขภาพ (Health Care) ภายใต้แบรนด์ “Good Time” และสินค้าประเภทเครื่องใช้ภายในบ้าน แบรนด์ “Kleena” โดยคาดว่าจะเริ่มเห็นผลอย่างชัดเจนภายใน 6 เดือน
นายสุรพันธ์กล่าวอีกว่า แผนขยายธุรกิจเทรดดิ้งของบริษัทฯ ที่จะเริ่มเห็นผลภายในปี 2557 คือ การเปิดแฟรนไชส์ร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยและลาวเพิ่มขึ้นอย่างน้อยประเทศละ 1 สาขา จากปัจจุบันที่มีร้านแฟล็กชิปสโตร์ในประเทศไทยทั้งหมด 6 แบรนด์ เป็นจำนวน 5 สาขา รวมทั้งธุรกิจรับจัดเลี้ยงนอกสถานที่ (Catering Service) ภายใต้แบรนด์ “Ai”
ภายในเดือนกันยายน ศกนี้ บริษัทฯ ยังจะเซ็นสัญญาร่วมทุนอย่างเป็นทางการกับผู้ประกอบการจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งดำเนินธุรกิจอู่ซ่อมรถยนต์สมัยใหม่ภายใต้แบรนด์ “Car Conveni” โดยใช้แนวคิด “ซ่อมเล็ก ซ่อมเร็ว เสร็จภายใน 1 วัน” คาดว่าภายใน 8 เดือนจะเริ่มเปิดให้บริการสาขาแรกได้ภายในพื้นที่กรุงเทพฯ รอบนอก ด้วยเงินลงทุนประมาณ 30 ล้านบาท จากนั้นจะขยายเพิ่มเป็น 200-300 สาขาทั่วประเทศภายใน 5 ปี
“การร่วมทุนเปิดบริการอู่ซ่อมรถยนต์เป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจเทรดดิ้งในส่วนของ Part Zone ซึ่งบริษัทฯ กำลังให้ความสำคัญมาก เนื่องจากปัจจุบันมีการจัดจำหน่ายสินค้าประเภทเครื่องมือช่างและอะไหล่รถยนต์หลายๆ แบรนด์ ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจที่สำคัญคือ คาสตรอล สถานีบริการน้ำมัน ปตท. และ PT โดยในอนาคตอันใกล้จะเริ่มขยายไปยังเชลล์ ซัสโก้ และอื่นๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดว่าภายใน 3 ปีจะทำรายได้ประมาณ 500-700 ล้านบาท” นายสุรพันธ์กล่าวในที่สุด