เปิดกลยุทธ์ “อิชิตัน” ผุดบริษัทร่วมทุนลุยอินโดนีเซีย ชูเป็นหัวหอกโมเดลหลัก เผยเหตุเลือกอินโดฯ ก่อนเพราะได้พันธมิตรแข็งแกร่งทั้งช่องทางจำหน่าย และเทรดดิ้ง โนว์ฮาว วาดเป้า 5 ปีแรก 10,000 ล้านบาทในอินโดนีเซีย
นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตันกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ บุกตลาดต่างประเทศด้วยการเจาะตลาดอินโดนีเซียก่อน ด้วยการตั้งบริษัทร่วมทุนชื่อ บริษัท อิชิตัน อินโดนีเซีย จำกัด ทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท โดยอิชิตันถือหุ้น 50% ส่วนอีก 50% ถือหุ้นโดยบริษัท พีที อาทรี่ แปซิฟิค จำกัด หรือ เอพี ประเทศอินโดนีเซีย (เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง พีที ซิกมันทรา อัลฟินโด้ อินโดนีเซีย และมิตซูบิชิ คอร์เปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น )
ส่วนตลาดต่อไปจะต้องรอดูผลการดำเนินงานที่อินโดนีเซียก่อนว่าเป็นอย่างไร ตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 10,000 ล้านบาทภายใน 5 ปีจากนี้ ส่วนรูปแบบที่จะไปคงเป็นลักษณะเดียวกับที่อินโดนีเซียโดยลงทุนร่วมกับคนท้องถิ่น เริ่มจากชาเขียวก่อนแล้วตามด้วยเครื่องดื่มอื่น รวมทั้งไบเล่ด้วย ยกเว้นนมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเริ่มขาย 2 รสชาติก่อนคือ ชามะนาวกับชาดำ ราคาเฉลี่ย 13-15 บาท
สาเหตุที่เข้าตลาดอินโดนีเซียก่อนเพราะว่าเป็นตลาดที่ใหญ่มีประชากรมากกว่า 250 ล้านคน หรือครึ่งหนึ่งของเออีซี อีกทั้งประชากรมีกำลังซื้อสูง และพฤติกรรมการบริโภคชาเหมือนคนไทย ประเทศตั้งอยู่ในเขตศูนย์สูตรอากาศร้อนตลอดทั้งปี โดยเฉพาะตลาดชาพร้อมดื่มมีมูลค่ามากกว่า 73,000 ล้านบาท ซึ่งใหญ่กว่าตลาดน้ำอัดลมถึง 2 เท่า เติบโต 15% ขณะที่ตลาดชาเขียวเติบโต 20% โดยชาเขียวมีสัดส่วน 13% ส่วนชาดำสัดส่วน 87% จากตลาดรวม
“ในอินโดนีเซียยังไม่มีรายใด หรือแบรนด์ใดที่เป็นเจ้าตลาดชัดเจน แม้ว่าการแข่งขันจะรุนแรงเหมือนไทยมีมากกว่า 10 แบรนด์ก็ตาม ขณะที่แนวโน้มขวดเพ็ทเริ่มมาแรงและที่อินโดนีเซียก็อยู่ระหว่างการเปลี่ยนถ่ายเป็นขวดเพ็ทจากเดิมขวดแก้วกว่า 75% ของตลาด”
ในแง่ของกลยุทธ์การตลาดจะอาศัยความแข็งแกร่งของพันธมิตรทั้งสองราย โดย “พีที อาทรี่” ทำธุรกิจด้านการจัดจำหน่ายรายใหญ่ สามารถนำ “อิชิตัน” เข้าสู่ช่องทางตลาดได้มาก ทั้งโมเดิร์นเทรด ร้านสะดวกซื้อ ร้านย่อยทั่วไป โดย “พีที” มีธุรกิจค้าปลีกของตัวเองเป็นร้านคอนวีเนียนสโตร์มากกว่า 10,000 สาขาแล้ว และอีก 6 ปีจะเพิ่มเป็น 20,000 แห่ง ส่วน “มิตซูบิชิ” มีความแข็งแกร่งทางด้านการลงทุนและเป็นเจ้าของร้าน “ลอว์สัน” ด้วย ซึ่งเริ่มขยายในอินโดนีเซียแล้วจึงเป็นอีกช่องทางในการเข้าถึงผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี
ปีแรกตั้งเป้ายอดขายในอินโดนีเซีย 1,000 ล้านบาท และปีที่สองประมาณ 2,500 ล้านบาท โดยใช้งบตลาดปีแรก 100 ล้านบาท ซึ่งการทำตลาดที่นั่นไม่มีข้อห้าม หรือกฎหมายบังคับมากเหมือนไทย จึงทำให้ทำตลาดได้เต็มที่ และเตรียมตั้งโรงงานผลิตด้วยเมื่อยอดขายตามเป้าหมาย 10,000 ล้านบาทใน 5 ปี คาดว่าลงทุนไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ว่าจ้างให้โรงงานของไต้หวันที่อินโดนีเซียผลิตให้และส่งออกจากไทยส่วนหนึ่ง
สำหรับเป้าหมายรายได้ในไทยปีนี้ตั้งไว้ 7,000 ล้านบาท เติบโต 10-20% ปีที่แล้ว 6,400 ล้านบาท สัดส่วนรายได้ต่างประเทศ 1% คาดว่าปีหน้าเป็น 5% และเป้าหมายในไทยอีก 5 ปีเป็น 15,000 ล้านบาท เมื่อรวมต่างประเทศด้วยรวมเป็น 25,000 ล้านบาท ส่วนแชร์ตลาดขณะนี้รอบ 7 เดือนแรกปีนี้อิชิตัน 45% โออิชิ 37% เพียวริคุ 8% ลิปตัน 4%