xs
xsm
sm
md
lg

“จ๊อกกี้” โหมตลาดชุดชั้นในเอเชีย ส่ง “เชพแวร์” ดันติดท็อป 5 ไทยปีหน้า

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“มร.เอ็นริเก้ คาร์ดินัล” (Mr.Enrique Cardenal) ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท จ๊อกกี้อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
“จ๊อกกี้เวิลด์ไวด์” โหมตลาดเอเชีย ชูเป็นตลาดเติบโตดี มีศักยภาพ รวมทั้งไทยก็เป็นตลาดสำคัญ ชูกลยุทธ์ “เอเชียโปรดักส์” รุกตลาดชุดชั้นในผู้หญิงเอเชียโดยเฉพาะ ประเดิมส่ง “เชพแวร์” ลงตลาด เปิดตัวในไทยเป็นประเทศที่สี่ของโลก

นายเอ็นริเก้ คาร์ดินัล (Mr.Enrique Cardenal ) ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท จ๊อกกี้อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดเอเชียเป็นตลาดที่น่าสนใจของจ๊อกกี้เวิลด์ไวด์ ซึ่งมีการเติบโตและมีศักยภาพอย่างดี ทำให้บริษัทฯ ให้ความสนใจตลาดนี้มากขึ้น รวมทั้งไทยก็เป็นตลาดที่สำคัญด้วยเช่นกัน ล่าสุดได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ “นิว ซีมเลส เชพแวร์” (ชุดชั้นในเก็บส่วนเกิน) ขึ้นมาเพื่อตอบสนองกลุ่มผู้บริโภคเอเชียเป็นหลัก โดยได้เปิดตัวไปแล้วที่อินโดนีเซียมียอดขายติดท็อปทรี ส่วนที่ฟิลิปปินส์ยอดขายดีมากจนกลายเป็นผู้นำตลาด นอกจากนี้ยังมีการเปิดตลาดประเทศอินเดีย ส่วนไทยเป็นประเทศที่สี่ที่วางจำหน่ายโดย บริษัท เซ็นทรัลมาร์เก็ตติ้ง จำกัด มานานกว่า 60 ปีแล้ว และต่อไปจะไปเปิดตลาดที่ประเทศเวียดนาม

แม้ว่าตลาดเชพแวร์จะยังไม่ใหญ่แต่ก็เติบโตดีจากปกติเติบโต 15% โดยเฉพาะช่วงหลังที่มีการเติบโตน้อยลงเนื่องจากหลายปัญหาทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการเมือง แต่ จ๊อกกี้ฯ ก็มีนโยบายที่จะขยายตลาดให้กว้างขึ้น โดยสร้างพฤติกรรมให้ผู้บริโภคหันมาใส่เชพแวร์ได้ทุกวันและทั้งวันจากเดิมที่ผู้บริโภคใส่บางวันและบางเวลาเท่านั้น โดยมีการใช้วัตถุดิบอย่างดี ใช้ผ้าที่ไม่หนา หรือบางไป และไม่ทำให้ผู้สวมใส่รู้สึกว่ารัดและอึดอัด ด้วยเทคโนโลยีของผ้า Nylon และ Spandex รวมทั้งกลยุทธ์ตลาดต่อเนื่อง ทั้งการโฆษณาประชาสัมพันธ์ เป็นต้น

“จ๊อกกี้ เชพแวร์ ยังมีความได้เปรียบเรื่องราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่งในตลาดด้วยกันประมาณ 30-50% คือ จำหน่ายตัวละประมาณ 1,000 กว่าบาทต้นๆ แต่คู่แข่งประมาณ 2,000 กว่าบาท เนื่องจากต้องนำเข้าจากโรงงานผลิตจากจีนที่มีต้นทุนต่ำเพราะผลิตปริมาณที่มาก อย่างไรก็ตาม ราคาที่จำหน่ายในไทยจะยังคงสูงกว่ าจ๊อกกี้ฯ ในประเทศอื่นเพราะไทยมีภาษีนำเข้า”

“จ๊อกกี้ฯ มีเป้าหมายการทำตลาดในประเทศไทยว่าจะต้องติด 1 ใน 5 ผู้นำตลาด หรือท็อปไฟว์ในตลาดรวมของ “เชพแวร์” ซึ่งมีมูลค่าตลาดประมาณ 1,200 ล้านบาท โดยผู้เล่นรายใหญ่ในกลุ่มนี้คือแบรนด์ “SPANX” และแบรนด์ “เมเดนฟอร์ม” ซึ่งทั้งสองแบรนด์นี้เป็นแบรนด์นำเข้าจากต่างประเทศ ขณะที่ตลาดรวมเชพแวร์มีการเติบโต 5% และถือเป็นสัดส่วน 10% ของตลาดชุดชั้นในสตรีโดยรวมที่มีมูลค่า 12,000 ล้านบาทในช่องทางห้างสรรพสินค้าซึ่งมีการแข่งขันที่รุนแรงจากจำนวนมากกว่า 20 แบรนด์

อย่างไรก็ตาม ช่วงก่อนหน้านี้ตลาดรวมไม่ค่อยเติบโตเพราะปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองที่มีต่อเนื่องมานาน แต่เริ่มเห็นสัญญาณบวกเมื่อเดือนมิถุนายน ขณะที่เดือนกรกฎาคมยอดขายกระเตื้องขึ้นแล้ว มีการเติบโต 30% เทียบเดือนเดียวกันปีที่แล้ว เพราะกำลังซื้อเริ่มกลับมาและมียอดซื้อต่อบิลอยู่ที่ 2,500 บาทต่อครั้งต่อคน โดยสัดส่วนเป็นลูกค้าคนไทย 60% และลูกค้าต่างชาติ 40% ขณะที่ปัจจุบัน “จ๊อกกี้ เลดี้แวร์” มีจุดจำหน่าย 36 จุด ส่วน “จ๊อกกี้ เมน” มีจุดจำหน่าย 100 กว่าจุดในไทย โดยรายได้ปีที่แล้วเฉพาะผลิตภัณฑ์ชุดชั้นในผู้หญิงจ๊อกกี้มีประมาณ 60 ล้านบาท มีส่วนแบ่ง 5% ในตลาดรวม


กำลังโหลดความคิดเห็น