ร.ฟ.ท.ปรับมาตรการหลังเกิดเหตุโจรกรรมผู้โดยสารบนขบวนรถด่วนพิเศษทักษิณที่ 37 กรุงเทพฯ-สุไหงโก-ลก ถูกฉกทรัพย์สินนับสิบราย ให้เจ้าหน้าที่เดินตรวจขบวนถี่ขึ้นเป็นทุกชั่วโมง และให้แจ้งชื่อและเลขบัตรประชาชนของผู้เดินทางเมื่อซื้อตั๋วเพื่อเก็บหลักฐาน คาดขโมยปะปนอยู่กับผู้โดยสาร พร้อมสั่งพักงานพนักงานบนรถคันเกิดเหตุจนกว่าผลสอบจะเสร็จ
นายประเสริฐ อัตตะนันทน์ รักษาการผู้ว่าการ ร.ฟ.ท. กล่าวภายหลังประชุมร่วมกับผู้บริหาร และตำรวจรถไฟว่า เหตุโจรกรรมทรัพย์สินของผู้โดยสารบนขบวนรถด่วนที่ 37 (กรุงเทพฯ-สุไหงโก-ลก) เกิดขึ้นในรถนั่งและนอนปรับอากาศ คันที่ 10 ส่วนรถ Ladies and Children Car เป็นคันที่ 11/1 ซึ่งอยู่ห่างไปอีก 2 คัน โดยมีรถนั่งและนอนปรับอากาศคันที่ 11 คั่นอยู่ ซึ่งโดยหลักการดูแลผู้โดยสารเพื่อป้องกันมิจฉาชีพหรือเหตุอื่นที่เกิดขึ้นภายในตู้นั้น หลังจากที่ฝ่ายการเดินรถได้เข้มงวดมาตรการปิดล็อกตู้รถนอนบนขบวนรถตั้งแต่เวลา 22.00 น. และให้พนักงานรักษารถเดินตรวจทุก 2 ชม. จึงอาจเป็นเหตุให้มิจฉาชีพแฝงตัวเป็นผู้โดยสารเข้ามาโจรกรรมสิ่งของภายในรถ
โดยหลังเกิดเหตุเป็นช่วงเวลา 03.00 น.ที่ไม่มีผู้โดยสารขึ้นลง กรณีที่ผู้โดยสารรู้สึกว่ามีอาการเหมือนโดนวางยาสลบนั้นต้องรอผลการสอบสวนจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในส่วนของพนักงานการรถไฟฯ ได้สั่งให้พนักงานรักษารถ พนักงานห้ามล้อ 2 คน และพนักงานในคันที่เกิดเหตุ รวม 4 คน ลงให้ปากคำที่สถานีหาดใหญ่ และสั่งให้พักการขึ้นปฏิบัติงานบนขบวนรถไว้ก่อนจนกว่าผลการสอบสวนจะเสร็จสิ้น อย่างไรก็ตาม ร.ฟ.ท.ต้องขอแสดงความเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งที่ได้วางมาตรการให้รัดกุมเพื่อป้องกันความปลอดภัยแก่ผู้โดยสารแล้ว แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นอีกก็ต้องพยายามหาวิธีการและเครื่องมือหรือเทคโนโลยีต่างๆ ให้ผู้โดยสารปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ หลังจากได้หารือกับผู้เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณายกระดับการรักษาความปลอดภัยให้แก่ผู้โดยสาร ดังนี้
1. ให้พนักงานขบวนรถประชาสัมพันธ์ให้ผู้โดยสารระมัดระวังทรัพย์สินของตน อย่าไว้ใจคนแปลกหน้า หากมีเหตุอันใดให้แจ้งพนักงาน หรือตำรวจรถไฟบนขบวนรถทันที
2. ให้พนักงานรักษารถ พร้อมตำรวจรถไฟ จำนวน 2 นาย ออกตรวจบนขบวนรถทุก 1 ชั่วโมง ตั้งแต่เวลา 24.00-05.00 น. โดยแจ้งประกาศให้ผู้โดยสารทราบก่อน และไม่ทำให้รบกวนผู้โดยสาร
3. ประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือผู้โดยสาร เมื่อซื้อตั๋วโดยสารกรุณาแจ้งชื่อ และเลขบัตรประชาชนให้ตรงกับผู้ที่จะเดินทาง ในชั้นแรก หากผู้เดินทางจริงไม่ตรงกับที่ระบุในตั๋ว พนักงานจะเปลี่ยนชื่อให้ตรงกับบัตรประชาชนของผู้เดินทางจริง ทั้งในตั๋วของผู้โดยสารและผังที่นั่งของพนักงานบนขบวนรถ เพื่อให้ตรวจสอบได้ในภายหลัง
4. ในขั้นตอนต่อไป การรถไฟฯ จะออกระเบียบให้ผู้โดยสารที่ต้องการซื้อตั๋วโดยสารรถไฟ ต้องแจ้งชื่อและเลขบัตรประชาชน ตั๋วโดยสารหนึ่งใบต่อชื่อและเลขบัตรประชาชนหนึ่งท่านเท่านั้น
5. การพิจารณาติดกล้อง CCTV บนขบวนรถ หากทดสอบแล้วระบบสามารถรองรับการสั่นสะเทือนของตัวรถขณะวิ่งได้ ก็จะดำเนินการต่อไป