บางจากพร้อมรับซื้อข้าวเน่าจากโครงการรับจำนำข้าวมาผลิตเอทานอล แต่หวั่นกระทบราคามันสำปะหลัง จึงเสนอ คสช.ยกเลิกเบนซิน 95 หวังกระตุ้นการใช้เอทานอลในประเทศเพิ่มขึ้น และตั้งเป้าปี 63 มี EBITDA เพิ่มขึ้นเป็น 2.5 หมื่นล้านบาท โตขึ้นจากปีนี้ 1 หมื่นล้านบาท โดยขยายการลงทุนสู่ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม พลังงานทดแทน
นายวิเชียร อุษณาโชติ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (BCP) เปิดเผยว่า บริษัทพร้อมรับซื้อข้าวเสื่อมคุณภาพจากโครงการรับจำนำข้าวของภาครัฐเพื่อนำมาผลิตเอทานอล โดยขอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยกเลิกการใช้น้ำมันเบนซิน 95 เพราะรถยนต์หรู มอเตอร์ไซค์สามารถใช้แก๊สโซฮอล์ได้ และยังเป็นการกระตุ้นการใช้เอทานอลในการผสมน้ำมันเบนซินเพิ่มมากขึ้นและไม่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ผลิตมันสำปะหลัง
นอกจากนี้ คงต้องพิจารณาสัดส่วนแป้งของข้าวว่าจะผลิตเอทานอล และกำหนดราคาข้าวที่จะเสนอขายต้องเทียบกับคุณภาพแป้งของมันสำปะหลังในราคาที่เท่าเทียมกัน
ปัจจุบันยอดการใช้เอทานอลอยู่ที่ 2.87 ล้านลิตร/วัน หากรัฐยกเลิกเบนซิน 95 จะทำให้ผู้ค้าน้ำมันมีหัวจ่ายน้ำมันเพิ่มขึ้นเพื่อจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี20 ซึ่งจะช่วยเพิ่มการใช้เอทานอล ที่มาจากข้าวเสื่อมคุณภาพและมันสำปะหลังได้ แต่หากรัฐไม่ยกเลิกการขายเบนซิน 95 อาจจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังได้
นายวิเชียรกล่าวถึงนโยบายการลงทุนธุรกิจใหม่ ทั้งสำรวจและผลิตปิโตรเลียม และพลังงานทดแทนว่า ตามที่บริษัทได้วางเป้าหมายมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อม (EBITDA) เพิ่มขึ้นเป็น 2.5 หมื่นล้านบาทในปี 2563 สูงกว่าปีนี้ที่บริษัทตั้งเป้า EBITDA ไว้ 1 หมื่นล้านบาทถึง 1.5 เท่า ทำให้บริษัทฯ ต้องเน้นขยายการลงทุนธุรกิจใหม่และพลังงานทดแทนเพิ่มมากขึ้นนอกเหนือจากการลงทุนโซลาร์ฟาร์มที่ผ่านมา รวมทั้งยังผลักดันให้หุ้นบริษัทอยู่ในอันดับที่ 20-25 ของ SET 50 จากปัจจุบันอยู่อันดับ 46 ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะหลุดจาก SET 50 ได้
ทั้งนี้ บางจากอยู่ระหว่างการทำข้อเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของ Nido Petroleum Limited ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของออสเตรเลียที่ดำเนินธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม คาดว่าจะใช้เงินลงทุนทั้งสิ้น 120.4 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 3.62 พันล้านบาท
การเข้าไปซื้อหุ้นทั้งหมดของ Nido ที่เป็นเจ้าของแหล่งสัมปทาน Galoc ที่กำลังผลิตอยู่ และยังมีแหล่ง West Linapacan ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาในประเทศฟิลิปปินส์ รวมถึงมีแหล่งสัมปทานสำรวจที่มีศักยภาพอื่นๆ อีกในอินโดนีเซีย ทำให้บริษัทฯ มีรายได้เข้ามาทันทีในปีนี้ แต่จะเป็นเท่าไรขึ้นกับผู้ถือหุ้น Nido จะเสนอขายหุ้นให้บริษัทฯ และยังลดความผันผวนทางธุรกิจโรงกลั่นด้วย โดยในปีที่แล้ว Nido มีกำไรสุทธิ 15 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 450 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังได้ซื้อหุ้นโรงงานผลิตเอทานอลที่ใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบที่ จ.ฉะเชิงเทราจากบริษัท สีมาอินเตอร์โปรดักส์ จำกัด สัดส่วน 85% ในวงเงิน 765 ล้านบาท ภายใต้ชื่อบีซีพี ไบโอเอทานอล คาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องจักรผลิตในเดือนหน้า ทำให้รับรู้รายได้ EBITDA ปีนี้ 50 ล้านบาท และปีหน้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 160 ล้านบาท
สำหรับแหล่งเงินที่เข้าลงทุนใน NIDO และการซื้อหุ้นโรงงานเอทานอลนั้นจะมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานและหุ้นกู้ที่ออกก่อนหน้านี้ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งเพียงพอที่จะลงทุน และขยายธุรกิจเพิ่มเติมด้วย เช่น การผลิตไฟฟ้าจากชีวมวล ไบโอแมส และไบโอแก๊ส ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐที่จะส่งเสริมโดยการเพิ่ม Adder ในการรับซื้อไฟเพิ่มขึ้นหรือไม่
นายวิเชียรกล่าวถึงความคืบหน้าการรุกธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ญี่ปุ่นว่า ขณะนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาเข้าร่วมทุนกับพันธมิตร 2 รายในประเทศญี่ป่น ซึ่งพันธมิตรท้องถิ่นมีที่ดินอยู่หลายแปลง โดยเนื้อที่แปลงหนึ่งใหญ่เพียงพอที่จะทำโซลาร์ฟาร์มขนาด 20-30 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสามารถสรุปได้ภายในปลายปีนี้
ก่อนหน้านี้ ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะคณะกรรมการ ปตท.ได้เสนอให้ ปตท.รับซื้อข้าวเสื่อมคุณภาพจากโครงการรับจำนำข้าวไปผลิตเอทานอล เพื่อลดปริมาณสต๊อกข้าวของรัฐบาล และค่าใช้จ่ายในการค่าเช่าโกดัง เบื้องต้นคาดว่ามีข้าวเสื่อมคุณภาพที่ไม่สามารถบริโภคได้ประมาณ 1 แสนล้านตัน จากปริมาณข้าวในสต๊อกรัฐบาลทั้งหมด 18 ล้านตัน