ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศประเมิน 4 ปีเออีซี ไทยเจ๊งทั้งด้านการค้าและการลงทุน เผยยอดส่งออกตกรูด ด้านการลงทุน ต่างชาติแห่ลงทุนอาเซียนอื่น แนะเพิ่มศักยภาพแข่งขันให้สินค้าไทยต้องมีแบรนด์ ดันบริษัทไทยทำตลาดในอาเซียน และหนุน SMEs ไปลงทุนให้มากขึ้น
นายอัทธ์ พิศาลวานิช คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงการประเมิน 4 ปี การค้าและการลงทุนภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ช่วงปี 2553-2556 ว่า ไทยเสียประโยชน์ทั้งด้านการค้าและการลงทุน ทำให้ศักยภาพในการแข่งขันของสินค้าไทยลดลง โดยในด้านการค้า การส่งออกของไทยไปอาเซียนลดลงอย่างต่อเนื่อง จากที่ขยายตัว 39.5% ในปี 2553 พอมาปี 2554 ขยายตัว 20.7% ปี 2555 ขยายตัว 3.3% และมาปี 2556 ขยายตัวลดลงเหลือ 1% ตกมาอยู่อันดับ 7
สำหรับสินค้าไทยที่ยังเป็นดาวเด่นหลังเปิดเออีซี 4 ปี ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ เนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง เหล็กและผลิตภัณฑ์จากเหล็ก เครื่องและยาสูบ ส่วนสินค้าดาวร่วง ได้แก่ ข้าว อาหารทะเลแปรรูป มันสำปะหลัง ยางพารา น้ำตาล รถยนต์และชิ้นส่วน เป็นต้น
ส่วนด้านการลงทุน ในแง่ของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่เข้ามาในอาเซียน พบว่า สิงคโปร์มากสุด 2.3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ รองลงมา อินโดนีเซีย 7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ อันดับ 3 มาเลเซีย 4.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ไทยอยู่อันดับ 4 มี FDI รวม 3.65 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ สิ่งที่ภาครัฐต้องทำเพื่อไม่ให้สินค้าไทยสูญเสียศักยภาพในการแข่งขันไปมากกว่านี้ 1. จะต้องปรับการทำการตลาดใหม่ โดยสินค้าไทยเป็นที่ยอมรับและนิยมในชาติอาเซียนอยู่แล้ว แต่ไม่มีการทำการตลาดอย่างจริงจัง และไม่สร้างแบรนด์สินค้าให้เกิดในอาเซียน 2. ไม่มีบริษัทไทยไปร่วมทุนทำเทรดดิ้งในอาเซียนเลย ทำให้การส่งสินค้าไปขายจึงไม่เกิดขึ้น และ 3. ในด้านการลงทุน ไทยต้องปรับวิธีการผลักดันเพื่อให้ SMEs ไปลงทุนได้มากขึ้น จากปัจจุบันที่มีแต่เฉพาะรายใหญ่