“พาณิชย์” เตรียมชง คสช.เคาะแนวทางระบายข้าว คาดเริ่มระบายได้ ส.ค.นี้ เผยปรับเงื่อนไขเปิดกว้างให้ทุกภาคส่วนสามารถซื้อข้าวรัฐได้ เล็งทยอยระบายครั้งละ 5-6 แสนตัน คาด 3 ปีขายหมด 18 ล้านตัน มั่นใจปีนี้ยอดส่งออกทะลุ 10 ล้านตันแน่
นางดวงพร รอดพยาธิ์ รักษาการอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า การระบายสต๊อกข้าวรัฐบาลที่มีอยู่จำนวน 18 ล้านตัน จะไม่รอการตรวจสอบด้านปริมาณและคุณภาพเสร็จก่อน แต่จะเริ่มเปิดระบายตั้งแต่เดือน ส.ค.เป็นต้นไป เนื่องจากเป็นช่วงระยะเวลาที่เหมาะสมเพราะข้าวยังไม่ออกสู่ตลาดทำให้ตลาดมีข้าวเหลือไม่มาก โดยวิธีการระบายจะมีหลายวิธี เช่น การเปิดประมูลทั่วไป การระบายผ่านตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (เอเฟต) การขายผ่านรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) และการขายตรง รวมทั้งวิธีอื่นๆ ที่เหมาะสม โดยจะนำเสนอแนวทางดังกล่าวต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พิจารณาในวันนี้ (10 ก.ค.)
ทั้งนี้ การระบายข้าวในสต๊อกไม่ว่าจะใช้วิธีการใดจะทำอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และจะมีการปรับเงื่อนไขในทีโออาร์การระบายทุกรูปแบบให้เปิดกว้าง ทุกสาขาอาชีพสามารถซื้อข้าวสารสต๊อกรัฐบาลได้ เพราะข้าวในสต๊อกรัฐบาลมีหลายคุณภาพ ซึ่งการขายก็จะขายตามคุณภาพ โดยบางคุณภาพจะกำหนดเพื่อส่งออกและใช้ในประเทศ หรือบางประเภทอาจขายให้ผู้ประกอบการผลิตอาหารสัตว์หรือผลิตภัณฑ์แปรรูปอื่นๆ และกรณีที่ซื้อไปแล้วพบว่าข้าวบางส่วนไม่ได้คุณภาพก็เปิดให้มีการต่อรองได้
“แนวทางการระบาย จะระบายประมาณเดือนละ 5-6 แสนตัน แต่จะไม่เร่งการระบายจำนวนมากๆ เพราะรัฐไม่มีแรงกดดันที่จะต้องเร่งระบายข้าว เหมือนกับอดีตที่ต้องเร่งระบายเพื่อนำเงินมาจ่ายหนี้ชาวนา ซึ่ง คสช.ได้สั่งไว้ว่าการระบายข้าวจะต้องไม่กระทบต่อราคาตลาด โดยสต๊อกข้าวปริมาณ 18 ล้านตันน่าจะใช้ระยะเวลา 3 ปีถึงระบายออกหมด ส่วนสต๊อกข้าวที่มีการตรวจสอบขณะนี้ และมีกระแสข่าวว่าเน่าเสียนั้น ยืนยันว่าเป็นเพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้น”
สำหรับแนวโน้มการส่งออกข้าวในช่วงครึ่งปีหลัง เชื่อว่าจะเป็นโอกาสในการขายข้าวของไทย เพราะปริมาณผลผลิตข้าวทั่วโลกน่าจะลดลงจากปรากฏการณ์เอลนีโญทำให้ต่างประเทศเข้ามาซื้อข้าวไทยเพิ่มเติม ซึ่งเริ่มมีผู้ซื้อติดต่อเข้ามาแล้ว และคาดว่าปีนี้ไทยน่าจะส่งออกข้าวได้มากถึง 10 ล้านตัน โดยในช่วง 6 เดือนส่งออกได้แล้ว 5.35 ล้านตัน
ส่วนการเจรจาขายข้าวจีทูจี สัญญาเดิม 1 ล้านตัน และมีการส่งมอบไปแล้ว 1 แสนตัน ก็ยังคงดำเนินการต่อ และอาจจะมีการเจรจาขายเพิ่มเติม โดยมีประเทศที่สนใจ เช่น อิรัก อิหร่าน และแอฟริกา
