กฟภ.จับมือ SPCG เปิดเดินเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าแสงอาทิตย์เมืองสุรินทร์ ผนึกกำลังหนุนสร้างพลังงานทดแทนใหม่ให้ประเทศ ช่วยชาติไม่ขาดแคลนพลังงาน ขณะที่ “ซีอีโอ-วันดี” ปลื้มปั้นโซล่าร์ฟาร์มเสร็จครบแล้ว 36 โครงการแล้ว ช่วยสร้างความมั่นคงพลังงานให้ชาติ ช่วยสร้างงานในชนบท ประกาศเดินหน้าธุรกิจต่อเต็มสูบทั้งในประเทศและนอกประเทศ
นายปัญญา เล่าชู รักษาการ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พร้อมด้วย น.ส.วันดี กุญชรยาคง ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) ร่วมเปิดโครงการโซลาร์ฟาร์มแห่งใหม่ “บริษัท โซล่า เพาเวอร์ (สุรินทร์ 2) จำกัด” มูลค่าโครงการรวม 660 ล้านบาท ขนาด 7.46 เมกกะวัตต์ บนพื้นที่กว่า 100 ไร่ใน ตั้งอยู่ที่ ต.บ้านชบ อ.สังขะ จ.สุรินทร์ บนพื้นที่กว่า 100 ไร่ กำลังการผลิต 7.46 เมกะวัตต์ มูลค่าโครงการ 660 ล้านบาท ร่วมผนึกกำลังหนุนก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำในการลงทุนและพัฒนาด้านพลังงานทดแทนในประเทศและภูมิภาคอาเซียน โดยได้คัดสรรและเลือกเทคโนโลยีที่ให้ประสิทธิภาพในการจ่ายไฟสูง สามารถผลิตและจ่ายไฟฟ้าได้กว่า 10 ล้านหน่วยต่อปี ระยะเวลาคืนทุนประมาณ 7 ปี สามารช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 5,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
นายปัญญา กล่าวว่าการร่วมทุนโครงการโซล่าฟาร์มในครั้งนี้ เป็นการสนับสนุนการดำเนินงานด้านพลังงานทดแทนของประเทศ ช่วยเสริมความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในพื้นที่พลังงานแสงอาทิตย์ถือเป็นพลังงานที่มีศักยภาพสูง สามารถนำมาใช้ได้อย่างไม่สิ้นสุดและมีความเหมาะสมในการผลิตไฟฟ้า ช่วยลดการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ ช่วยลดมลพิษที่เกิดจากกระบวนการผลิตไฟฟ้า การเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาดย่อมส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจของประเทศ ถือได้ว่าเป็นพลังงานสีเขียวที่สามารถนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ บริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ยังมีแผนการลงทุนด้านพลังงานทดแทนภายในประเทศโดยใช้เทคโนโลยีจากก๊าซชีวภาพ ชีวมวล พลังน้ำ ขยะ สำหรับการลงทุนในต่างประเทศนั้นบริษัทได้มีการลงทุนด้านพลังน้ำใน สปป.ลาว และอีกหลายประเทศยังอยู่ระหว่างการดำเนินการ รวมถึงการให้บริการด้านวิศวกรรมก่อสร้างสายส่งและสถานีไฟฟ้าในต่างประเทศอีกด้วย
ด้าน น.ส.วันดี กล่าวว่า ในปี 2557 นี้ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) มีแผนที่จะดำเนินการพัฒนาธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ต่อเนื่อง โดยจะทำการเพิ่มกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าจากโครงการโซลาร์ฟาร์ม 1- 9 ให้มีกำลังผลิตรวมกว่า 10 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทำให้บริษัทฯสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ทั้งหมดกว่า 260 เมกะวัตต์ จากทั้ง 36 โครงการ นอกจากนี้ยังมีแผนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโครงการโซลาร์ฟาร์มไปยังภูมิภาคอาเซียน และยังมีโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (Solar PV Rooftop) ผ่านบริษัทในเครืออีกด้วย
ทั้งนี้ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) ยังคงยึดมั่นในแนวทางการดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นพลังงานสะอาด เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการทำกิจกรรมเพื่อสังคมกับชุมชนที่อยู่พื้นที่ใกล้เคียงในโครงการโซลาร์ฟาร์มทุกโครงการ เพื่อร่วมสร้างความมั่นคงให้กับชุมชนโดยรอบพื้นที่ และมุ่งมั่นผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อเป็นพลังงานที่ยั่งยืนให้แก่ประเทศในอนาคต พร้อมกันนี้เราพร้อมประกาศความสำเร็จที่บริษัท ได้ดำเนินโครงการโซลาร์ฟาร์มมาถึงลำดับที่ 36 ซึ่งครบตามสัญญาการผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ให้กับประเทศในเฟสแรก และพร้อมสร้างความเชื่อมั่นและตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ประกาศเดินหน้าสู่การพัฒนาโครงการอื่นๆ ซึ่งอาจเปิดเผยได้ช่วงปลายปีนี้
นายปัญญา เล่าชู รักษาการ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พร้อมด้วย น.ส.วันดี กุญชรยาคง ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) ร่วมเปิดโครงการโซลาร์ฟาร์มแห่งใหม่ “บริษัท โซล่า เพาเวอร์ (สุรินทร์ 2) จำกัด” มูลค่าโครงการรวม 660 ล้านบาท ขนาด 7.46 เมกกะวัตต์ บนพื้นที่กว่า 100 ไร่ใน ตั้งอยู่ที่ ต.บ้านชบ อ.สังขะ จ.สุรินทร์ บนพื้นที่กว่า 100 ไร่ กำลังการผลิต 7.46 เมกะวัตต์ มูลค่าโครงการ 660 ล้านบาท ร่วมผนึกกำลังหนุนก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำในการลงทุนและพัฒนาด้านพลังงานทดแทนในประเทศและภูมิภาคอาเซียน โดยได้คัดสรรและเลือกเทคโนโลยีที่ให้ประสิทธิภาพในการจ่ายไฟสูง สามารถผลิตและจ่ายไฟฟ้าได้กว่า 10 ล้านหน่วยต่อปี ระยะเวลาคืนทุนประมาณ 7 ปี สามารช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 5,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
นายปัญญา กล่าวว่าการร่วมทุนโครงการโซล่าฟาร์มในครั้งนี้ เป็นการสนับสนุนการดำเนินงานด้านพลังงานทดแทนของประเทศ ช่วยเสริมความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในพื้นที่พลังงานแสงอาทิตย์ถือเป็นพลังงานที่มีศักยภาพสูง สามารถนำมาใช้ได้อย่างไม่สิ้นสุดและมีความเหมาะสมในการผลิตไฟฟ้า ช่วยลดการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ ช่วยลดมลพิษที่เกิดจากกระบวนการผลิตไฟฟ้า การเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาดย่อมส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจของประเทศ ถือได้ว่าเป็นพลังงานสีเขียวที่สามารถนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ บริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ยังมีแผนการลงทุนด้านพลังงานทดแทนภายในประเทศโดยใช้เทคโนโลยีจากก๊าซชีวภาพ ชีวมวล พลังน้ำ ขยะ สำหรับการลงทุนในต่างประเทศนั้นบริษัทได้มีการลงทุนด้านพลังน้ำใน สปป.ลาว และอีกหลายประเทศยังอยู่ระหว่างการดำเนินการ รวมถึงการให้บริการด้านวิศวกรรมก่อสร้างสายส่งและสถานีไฟฟ้าในต่างประเทศอีกด้วย
ด้าน น.ส.วันดี กล่าวว่า ในปี 2557 นี้ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) มีแผนที่จะดำเนินการพัฒนาธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ต่อเนื่อง โดยจะทำการเพิ่มกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าจากโครงการโซลาร์ฟาร์ม 1- 9 ให้มีกำลังผลิตรวมกว่า 10 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทำให้บริษัทฯสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ทั้งหมดกว่า 260 เมกะวัตต์ จากทั้ง 36 โครงการ นอกจากนี้ยังมีแผนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโครงการโซลาร์ฟาร์มไปยังภูมิภาคอาเซียน และยังมีโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (Solar PV Rooftop) ผ่านบริษัทในเครืออีกด้วย
ทั้งนี้ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) ยังคงยึดมั่นในแนวทางการดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นพลังงานสะอาด เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการทำกิจกรรมเพื่อสังคมกับชุมชนที่อยู่พื้นที่ใกล้เคียงในโครงการโซลาร์ฟาร์มทุกโครงการ เพื่อร่วมสร้างความมั่นคงให้กับชุมชนโดยรอบพื้นที่ และมุ่งมั่นผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อเป็นพลังงานที่ยั่งยืนให้แก่ประเทศในอนาคต พร้อมกันนี้เราพร้อมประกาศความสำเร็จที่บริษัท ได้ดำเนินโครงการโซลาร์ฟาร์มมาถึงลำดับที่ 36 ซึ่งครบตามสัญญาการผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ให้กับประเทศในเฟสแรก และพร้อมสร้างความเชื่อมั่นและตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ประกาศเดินหน้าสู่การพัฒนาโครงการอื่นๆ ซึ่งอาจเปิดเผยได้ช่วงปลายปีนี้