“ปตท.บริหารธุรกิจค้าปลีก” ตั้งงบลงทุน 5 ปี 5 พันล้านบาทรุกธุรกิจอื่นๆ ที่ไม่ใช่น้ำมัน ทั้งร้านจิฟฟี่ ร้านอาหาร รวมทั้งขยายปั๊มน้ำมันเพิ่มขึ้น วางเป้าหมายสัดส่วนกำไรมาจากธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน 60% ใน 3 ปีข้างหน้า ล่าสุดทำธุรกิจ Online Shopping ส.ค.นี้ เพื่อสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ เล็งนำบริษัท PTTRM เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ หลังกำไรโตต่อเนื่อง
นายจักรกฤช จารุจินดา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปตท.บริหารธุรกิจค้าปลีก จำกัด (PTTRM) ซึ่งเป็นบริษัทลูก ปตท.ที่ดูแลและบริหารสถานีบริการน้ำมัน ปตท.ที่ซื้อกิจการมาจากเจ็ท และร้านสะดวกซื้อจิฟฟี่ 150 สาขา เปิดเผยว่า ใน 5 ปีข้างหน้าบริษัทฯ ตั้งงบลงทุนไว้ 5,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 1,000 ล้านบาท โดยเน้นการลงทุนธุรกิจอื่นๆ ที่ไม่ใช่น้ำมัน (Non-oil) เช่น ร้านสะดวกซื้อจิฟฟี่ที่จะขยายสาขาออกไปมากขึ้นนอกเหนือจากตั้งในปั๊มน้ำมัน ร้านอาหารและเครื่องดื่ม ส่วนการขยายปั๊มน้ำมัน ปตท.นั้นจะลงทุนขยายปั๊มน้ำมันเพิ่มขึ้นปีละ 3-4 แห่ง โดยจะเป็นปั๊มน้ำมันที่ ปตท.เป็นเจ้าของและบริหารจัดการเอง (COCO) และในช่วง 1-2 ปีนี้จะเน้นการปรับปรุงภาพลักษณ์ปั๊มน้ำมันและร้านจิฟฟี่ที่เปิดมาระยะหนึ่งให้ดีขึ้น โดยวางเป้าหมายรีโนเวตปั๊มไว้ 50 แห่ง และปีถัดไปจะครบทั้งหมด 150 แห่งที่อยู่ภายใต้การดูแลของ PTTRM
“ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้าปั๊มน้ำมัน ปตท.จำนวนหนึ่งจะสิ้นสุดสัญญาเช่าที่ดิน ทำให้ต้องเร่งเจรจากับเจ้าของที่ดินเพื่อเช่าต่อ หรือซื้อที่ดินแทน เพื่อไม่ให้ปั๊มหายไป โดยยอมรับว่าปั๊ม ปตท.ในเขตกรุงเทพฯ บางแห่งต้องปิดตัวเพราะเจ้าของนำที่ดินไปพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แทน ดังนั้นการลงทุนซื้อที่ดินจำนวนมากเพื่อทำปั๊มและร้านสะดวกซื้อจิฟฟี่
รวมทั้งร้านค้าต่างๆ ในรูปแบบคอมมูนิตีมอลล์ จึงเป็นแนวทางหนึ่งในการแก้ปัญหาดังกล่าวได้”
การเร่งขยายธุรกิจ Non-oil เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากขยายร้านจิฟฟี่ ร้านอาหารจิฟฟี่ คิทเช่น สินค้าเฮาส์แบรนด์ โดยขณะนี้มีการเจรจาซื้อไลเซนส์หรือร่วมทุนในกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนกำไรจากธุรกิจอื่นๆ ที่ไม่ใช่น้ำมันเป็น 60% ในอีก 3 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันอยู่ที่อัตรา 48%
ซึ่งการขยายร้านสะดวกซื้อจิฟฟี่ไปนอกปั๊มน้ำมันแล้ว ยังมองโอกาสขยายไปต่างประเทศ เบื้องต้นจะไปควบคู่กับบริษัทแม่ที่เปิดปั๊มน้ำมัน ปตท.ทั้งในลาวและกัมพูชา ปัจจุบันมีร้านจิฟฟี่ในลาวแล้ว 7 แห่ง ปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 15 แห่ง เช่นเดียวกับที่กัมพูชาที่จะมีร้านจิฟฟี่ครบ 6 แห่ง ส่วนอนาคตจะขยายไปยังฟิลิปปินส์และพม่าด้วย รวมทั้งขายแฟรนไชส์ร้านจิฟฟี่ให้แก่ผู้ที่สนใจในต่างประเทศ
ส่วนการขยายร้านจิฟฟี่ในไทยปีนี้วางเป้าหมายเพิ่มขึ้นอีก 20 แห่งจากทั้งหมด 150 แห่งในปัจจุบัน แบ่งเป็นร้านจิฟฟี่ พลัส ซูเปอร์มาร์เกต 3 แห่ง โดยเงินลงทุนซูเปอร์มาร์เกตจะค่อนข้างสูงเฉลี่ย 40 ล้านบาท/แห่ง รวมทั้งมีการขายสิทธิ์การใช้เครื่องหมายการค้าPearly Tea ด้วย นอกจากนี้บริษัทฯ จะทำธุรกิจ online Shopping ซึ่งจะเปิดตัวในเดือน ส.ค.นี้ เนื่องจากปัจจุบันพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงทุกวัน ซึ่งปัจจุบันนิยมสั่งซื้อสินค้าผ่านออนไลน์มากกว่าที่จะขับรถไปจอดซื้อสินค้า เนื่องจาก ปตท.มีเน็ตเวิร์กและฐานลูกค้าจากบัตรบลูการ์ดจำนวนมาก จึงตัดสินใจที่จะทำธุรกิจชอปปิ้งผ่านออนไลน์ เบื้องต้นจะมีสินค้าซื้อขายผ่านออนไลน์ 3 พันรายการ เป็นสินค้าเกรดบีบวก ถึงเกรดเอ มีทั้งสินค้าแฟชั่น สุขภาพความงาม ไอที เครื่องใช้ภายในบ้าน เครื่องเขียน ของเล่น เป็นต้น โดยลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าผ่านที่ click2joy.com
นายจักรกฤชกล่าวว่า ในอนาคตมีแผนจะนำบริษัท PTTRM เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วย โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาบริษัทฯ มีกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปีที่แล้ว บริษัทฯ มียอดขาย 4 หมื่นล้านบาท มาจากธุรกิจค้าปลีก 6 พันล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 335 ล้านบาท ซึ่งเป็นกำไรจากธุรกิจ Non-oil ถึง 48% ดีขึ้นกว่าปี 2555 ที่มีกำไรสุทธิ 224 ล้านบาท
แต่ปีนี้ PTTRM คงไม่สามารถเพิ่มกำไรได้ตามเป้าหมาย แต่จะรักษากำไรสุทธิให้ใกล้เคียงปีก่อน แม้ว่าช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้รายได้จากธุรกิจน้ำมันและ Non-oil ลดลงไป 5% จากหลายๆ ปัจจัยที่เกิดขึ้น ทำให้ค่าการตลาดน้ำมันต่ำมากเฉลี่ย 80 สตางค์/ลิตร ส่วนธุรกิจค้าปลีกก็มีการแข่งขันกันสูง ทำให้กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจจำเป็นต้องเพิ่มความระมัดระวัง