แสนสิริลุ้น 11 โครงการผ่าน EIA ขายทันโค้งสุดท้ายปลายปี หวังฉุดยอดขายขึ้น ตามเป้า 30,000 ล้านบาท หลัง 9 เดือนทำได้แค่ 7,000 ล้านบาท เผยทำตามนโยบายต้องผ่าน EIA ก่อนเปิดขายโครงการ แก้ปัญหาขายได้สร้างไม่ได้-สร้างช้า เชื่ออนาคตเปิดโครงการใหม่เข้าสู่ภาวะปกติ ล่าสุด เปิดตัวธุรกิจรีเทล “ฮาบิโตะ” หวังสร้างมูลค่าเพิ่มคอนโดฯ แสนสิริทำเล สุขุมวิท 77
นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI กล่าวว่า ภายหลังที่บริษัทปรับนโยบายการลงทุนใหม่ โดยจะต้องผ่านการอนุมัติการจัดทำรายการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA ก่อนจึงจะเปิดขายโครงการ เพื่อป้องกันปัญหาขายโครงการไปแล้ว แต่ไม่สามารถก่อสร้างได้ทันตามกำหนด ซึ่งอาจทำให้ต้องคืนเงินลูกค้า หรือเสียค่าปรับให้แก่ลูกค้า หรือเกิดผลกระทบอื่นๆ ตามมา ส่งผลให้ต้นทุนการดำเนินงานปรับขึ้นสูง โดยที่ผ่านมา บริษัทประสบปัญหาการพิจารณา EIA ล่าช้ามาโดยตลอด
“ในช่วงแรกที่หันมาใช้นโยบายผ่าน EIA ก่อนจึงจะเปิดขายโครงการ บริษัทจะต้องประสบปัญหาการเปิดตัวโครงการใหม่จะต้องไม่เป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้หรือมีการเว้นช่วงการเปิดออกไปนานๆ หรือเปิดขายแบบกระจุกตัว แต่เชื่อว่าหลังจากผ่านช่วงนี้ไปได้ การเปิดตัวโครงการใหม่ก็จะเป็นไปตามปกติ ตามการยื่นขอ EIA” นายอภิชาติ กล่าว
สำหรับในไตรมาส 4 นี้ บริษัทมีโครงการที่ต้องเปิดขายตามแผนการลงทุนในปีนี้อีก 13 โครงการ มูลค่า 23,500 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 4 โครงการ ทาวน์เฮาส์ 1 โครงการและคอนโดมิเนียม 8 โครงการ ในจำนวนนี้มีคอนโดมิเนียมผ่าน EIA แล้ว 2 โครงการ จากแผนเปิดขายทั้งปี 19 โครงการ มูลค่า 33,000 ล้านบาท ซึ่งหากการอนุมัติ EIA ได้ทันเปิดขายในปีนี้ทั้ง 13 โครงการก็เชื่อว่าจะทำให้บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้ตามเป้าหมายหรือใกล้เคียงเป้าหมายทั้งปีที่วางเอาไว้ 30,000 ล้านบาท จากในช่วง 9 เดือนทำได้เพียง 7,000 ล้านบาท เนื่องจากในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา สามารถเปิดโครงการใหม่ได้เพียง 6 โครงการเท่านั้น
“เราเห็นใจและเข้าใจบอร์ด EIA ที่มีงานล้นมือ เพราะมีโครงการจ่อรอคิวพิจารณาจำนวนมาก แต่ระยะเวลาที่รอการอนุมัติถือเป็นความเสี่ยงอย่างมาก ซึ่งลูกค้าอาจยกเลิกซื้อบ้านได้ มีต้นทุนเพิ่มขึ้น ดังนั้น จึงต้องหันมาใช้นโยบายผ่าน EIA แล้วถึงเปิดขาย” นายอภิชาติ กล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบริษัทจะสามารถสร้างยอดขายได้ไม่ตามเป้า แต่ในแง่ของการรับรู้รายได้แล้วเชื่อมั่นว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่กำหนดเอาไว้ 33,000 ล้านบาท โดยในช่วง 9 เดือนแรก รับรู้รายได้แล้วกว่า 20,000 ล้านบาท จากยอดขายรอโอน (Backlog) ที่มีอยู่กว่า 50,000 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 20,000 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ไปจนถึงปี 2559 นอกจากนี้ บริษัทยังมีรายได้จากโครงการโรงแรมที่เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา ที่เปิดตัวไปแล้ว โดยมีอัตราการเข้าพักของโรงแรมดังกล่าวอยู่ที่ 40-50%
สำหรับคอนโดมิเนียมที่ผ่าน EIA ในขณะนี้มีจำนวน 2 โครงการ ซึ่ง 1ใน 2 โครงการนี้ เป็นคอนโดมิเนียม Hasu Haus สุขุมวิท 77 ตั้งอยู่ภายใน T77 บนพื้นที่ 4 ไร่ สูง 7 ชั้น ขนาด 30 กว่าตารางเมตรขึ้นไป ราคา 90,000 บาท/ตารางเมตร หรือประมาณ 2.7 ล้านบาทขึ้นไป จำนวน 320 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ล้านบาท ส่วนอีก 1 โครงการยังไม่สามารถเปิดเผยได้ ซึ่งจะเปิดตัวในงาน “แสนสิริ ไลฟ์คัมส์โฮม” ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน ระหว่างวันที่ 10-12 ตุลาคม 57
นายอภิชาติ กล่าวต่อว่า ทำเลอ่อนนุชหรือสุขุมวิท 77 เป็นทำเลศักยภาพที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ซึ่งบริษัทพัฒนาโครงการในทำเลนี้มาแล้ว 5 โครงการ คือ บล๊อก สุขุมวิท 77, เดอะ เบส สุขุมวิท 77, เดอะ เบส พาร์คอีสต์ สุขุมวิท 77, เดอะ เบส พาร์คเวสต์ สุขุมวิท 77 และการ์เด้น สแควร์ สุขุมวิท 77 ซึ่งเป็นทาวน์เฮาส์ระดับบนราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป รวมถึงโครงการ ‘Hasu Haus’ที่จะเปิดขายในช่วงกลางเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งเมื่อรวมทุกโครงการของแสนสิริแล้ว จะทำให้ทำเลนี้มีมูลค่าที่อยู่อาศัยถึง 8,700 ล้านบาทและจะทำให้มีผู้อยู่อาศัยถึง 5,000 ครอบครัว
ดังนั้น แสนสิริจึงมีแผนที่จะพัฒนาทำเลสุขุมวิท 77 ให้เป็นฮับแห่งการอยู่อาศัยภายใต้ชื่อ “T 77” โดยบริษัทมีแผนพัฒนาโครงการในย่านนี้เพิ่มเติม และเพื่อเป็นการตอบสนองต่อไลฟสไตล์ของสังคมแสนสิริ จึงได้ทุ่มงบลงทุน 320 ล้านบาท เปิดตัว“ฮาบิโตะ (Habito)” เป็นคอมมูนิตี้ รีเทล ขนาด 10,000 ตารางเมตร ตั้งอยู่บนพื้นที่ 4 ไร่ ใน T77 ย่านสุขุมวิท 77 แบ่งเป็นพื้นที่เช่า 5,500 ตารางเมตร ประกอบด้วยร้านค้าจำนวน 32 ร้าน โดยมีขนาดร้านค้าตั้งแต่ 35-700 ตารางเมตร และร้านแบบคีย์ออส อีก 12 ร้านค้า คิดอัตราเช่า 750-1,500 บาท/ตารางเมตร/เดือน อีกทั้งยังเปิดพื้นที่บริเวณชั้น 4 พื้นที่ประมาณ 700 ตารางเมตร สำหรับเป็นออฟฟิศให้เช่าซึ่งเหมาะกับธุรกิจเอสเอ็มอี รวมถึงห้องประชุมขนาดเล็กด้วย โดยจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในเดือนกันยายน 2557 และแล้วเสร็จพร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายน 2558
“โครงการดังกล่าวถือเป็นธุรกิจใหม่ที่นำร่องของบริษัทฯ ในอนาคตหากโครงการไหนที่พัฒนาแล้วมีจำนวนมากถึง 4,000-5,000 ยูนิต จึงจะพัฒนาคอมมูนิตี้ มอลล์ ขึ้นมารองรับลูกค้า สำหรับ ฮาบิโตะ จะทำให้เรามีรายได้ประมาณ 40 ล้านบาทต่อปี เมื่อเทียบกับรายได้รวมของบริษัทฯ แล้วถือว่าน้อยกว่า 0.15% แต่สิ่งที่เราได้กลับมามีมูลค่ามากกว่านั้นเพราะถือเป็นการส่งมอบไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่ดีแก่ครอบครัวแสนสิริฯด้วยการเพิ่มสิ่งความสะดวกให้ผู้อยู่อาศัยในโครงการของแสนสิริทำเลสุขุมวิท 77 ตลอดจนเป็นการเพิ่มความน่าสนใจในการซื้อและลงทุนในโครงการของแสนสิริ อันจะนำไปสู่การเพิ่มมูลค่าของที่ดินในโซนนั้นในอนาคต” นายอภิชาติ กล่าว
นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI กล่าวว่า ภายหลังที่บริษัทปรับนโยบายการลงทุนใหม่ โดยจะต้องผ่านการอนุมัติการจัดทำรายการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA ก่อนจึงจะเปิดขายโครงการ เพื่อป้องกันปัญหาขายโครงการไปแล้ว แต่ไม่สามารถก่อสร้างได้ทันตามกำหนด ซึ่งอาจทำให้ต้องคืนเงินลูกค้า หรือเสียค่าปรับให้แก่ลูกค้า หรือเกิดผลกระทบอื่นๆ ตามมา ส่งผลให้ต้นทุนการดำเนินงานปรับขึ้นสูง โดยที่ผ่านมา บริษัทประสบปัญหาการพิจารณา EIA ล่าช้ามาโดยตลอด
“ในช่วงแรกที่หันมาใช้นโยบายผ่าน EIA ก่อนจึงจะเปิดขายโครงการ บริษัทจะต้องประสบปัญหาการเปิดตัวโครงการใหม่จะต้องไม่เป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้หรือมีการเว้นช่วงการเปิดออกไปนานๆ หรือเปิดขายแบบกระจุกตัว แต่เชื่อว่าหลังจากผ่านช่วงนี้ไปได้ การเปิดตัวโครงการใหม่ก็จะเป็นไปตามปกติ ตามการยื่นขอ EIA” นายอภิชาติ กล่าว
สำหรับในไตรมาส 4 นี้ บริษัทมีโครงการที่ต้องเปิดขายตามแผนการลงทุนในปีนี้อีก 13 โครงการ มูลค่า 23,500 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 4 โครงการ ทาวน์เฮาส์ 1 โครงการและคอนโดมิเนียม 8 โครงการ ในจำนวนนี้มีคอนโดมิเนียมผ่าน EIA แล้ว 2 โครงการ จากแผนเปิดขายทั้งปี 19 โครงการ มูลค่า 33,000 ล้านบาท ซึ่งหากการอนุมัติ EIA ได้ทันเปิดขายในปีนี้ทั้ง 13 โครงการก็เชื่อว่าจะทำให้บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้ตามเป้าหมายหรือใกล้เคียงเป้าหมายทั้งปีที่วางเอาไว้ 30,000 ล้านบาท จากในช่วง 9 เดือนทำได้เพียง 7,000 ล้านบาท เนื่องจากในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา สามารถเปิดโครงการใหม่ได้เพียง 6 โครงการเท่านั้น
“เราเห็นใจและเข้าใจบอร์ด EIA ที่มีงานล้นมือ เพราะมีโครงการจ่อรอคิวพิจารณาจำนวนมาก แต่ระยะเวลาที่รอการอนุมัติถือเป็นความเสี่ยงอย่างมาก ซึ่งลูกค้าอาจยกเลิกซื้อบ้านได้ มีต้นทุนเพิ่มขึ้น ดังนั้น จึงต้องหันมาใช้นโยบายผ่าน EIA แล้วถึงเปิดขาย” นายอภิชาติ กล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบริษัทจะสามารถสร้างยอดขายได้ไม่ตามเป้า แต่ในแง่ของการรับรู้รายได้แล้วเชื่อมั่นว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่กำหนดเอาไว้ 33,000 ล้านบาท โดยในช่วง 9 เดือนแรก รับรู้รายได้แล้วกว่า 20,000 ล้านบาท จากยอดขายรอโอน (Backlog) ที่มีอยู่กว่า 50,000 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 20,000 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ไปจนถึงปี 2559 นอกจากนี้ บริษัทยังมีรายได้จากโครงการโรงแรมที่เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา ที่เปิดตัวไปแล้ว โดยมีอัตราการเข้าพักของโรงแรมดังกล่าวอยู่ที่ 40-50%
สำหรับคอนโดมิเนียมที่ผ่าน EIA ในขณะนี้มีจำนวน 2 โครงการ ซึ่ง 1ใน 2 โครงการนี้ เป็นคอนโดมิเนียม Hasu Haus สุขุมวิท 77 ตั้งอยู่ภายใน T77 บนพื้นที่ 4 ไร่ สูง 7 ชั้น ขนาด 30 กว่าตารางเมตรขึ้นไป ราคา 90,000 บาท/ตารางเมตร หรือประมาณ 2.7 ล้านบาทขึ้นไป จำนวน 320 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ล้านบาท ส่วนอีก 1 โครงการยังไม่สามารถเปิดเผยได้ ซึ่งจะเปิดตัวในงาน “แสนสิริ ไลฟ์คัมส์โฮม” ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน ระหว่างวันที่ 10-12 ตุลาคม 57
นายอภิชาติ กล่าวต่อว่า ทำเลอ่อนนุชหรือสุขุมวิท 77 เป็นทำเลศักยภาพที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ซึ่งบริษัทพัฒนาโครงการในทำเลนี้มาแล้ว 5 โครงการ คือ บล๊อก สุขุมวิท 77, เดอะ เบส สุขุมวิท 77, เดอะ เบส พาร์คอีสต์ สุขุมวิท 77, เดอะ เบส พาร์คเวสต์ สุขุมวิท 77 และการ์เด้น สแควร์ สุขุมวิท 77 ซึ่งเป็นทาวน์เฮาส์ระดับบนราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป รวมถึงโครงการ ‘Hasu Haus’ที่จะเปิดขายในช่วงกลางเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งเมื่อรวมทุกโครงการของแสนสิริแล้ว จะทำให้ทำเลนี้มีมูลค่าที่อยู่อาศัยถึง 8,700 ล้านบาทและจะทำให้มีผู้อยู่อาศัยถึง 5,000 ครอบครัว
ดังนั้น แสนสิริจึงมีแผนที่จะพัฒนาทำเลสุขุมวิท 77 ให้เป็นฮับแห่งการอยู่อาศัยภายใต้ชื่อ “T 77” โดยบริษัทมีแผนพัฒนาโครงการในย่านนี้เพิ่มเติม และเพื่อเป็นการตอบสนองต่อไลฟสไตล์ของสังคมแสนสิริ จึงได้ทุ่มงบลงทุน 320 ล้านบาท เปิดตัว“ฮาบิโตะ (Habito)” เป็นคอมมูนิตี้ รีเทล ขนาด 10,000 ตารางเมตร ตั้งอยู่บนพื้นที่ 4 ไร่ ใน T77 ย่านสุขุมวิท 77 แบ่งเป็นพื้นที่เช่า 5,500 ตารางเมตร ประกอบด้วยร้านค้าจำนวน 32 ร้าน โดยมีขนาดร้านค้าตั้งแต่ 35-700 ตารางเมตร และร้านแบบคีย์ออส อีก 12 ร้านค้า คิดอัตราเช่า 750-1,500 บาท/ตารางเมตร/เดือน อีกทั้งยังเปิดพื้นที่บริเวณชั้น 4 พื้นที่ประมาณ 700 ตารางเมตร สำหรับเป็นออฟฟิศให้เช่าซึ่งเหมาะกับธุรกิจเอสเอ็มอี รวมถึงห้องประชุมขนาดเล็กด้วย โดยจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในเดือนกันยายน 2557 และแล้วเสร็จพร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายน 2558
“โครงการดังกล่าวถือเป็นธุรกิจใหม่ที่นำร่องของบริษัทฯ ในอนาคตหากโครงการไหนที่พัฒนาแล้วมีจำนวนมากถึง 4,000-5,000 ยูนิต จึงจะพัฒนาคอมมูนิตี้ มอลล์ ขึ้นมารองรับลูกค้า สำหรับ ฮาบิโตะ จะทำให้เรามีรายได้ประมาณ 40 ล้านบาทต่อปี เมื่อเทียบกับรายได้รวมของบริษัทฯ แล้วถือว่าน้อยกว่า 0.15% แต่สิ่งที่เราได้กลับมามีมูลค่ามากกว่านั้นเพราะถือเป็นการส่งมอบไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่ดีแก่ครอบครัวแสนสิริฯด้วยการเพิ่มสิ่งความสะดวกให้ผู้อยู่อาศัยในโครงการของแสนสิริทำเลสุขุมวิท 77 ตลอดจนเป็นการเพิ่มความน่าสนใจในการซื้อและลงทุนในโครงการของแสนสิริ อันจะนำไปสู่การเพิ่มมูลค่าของที่ดินในโซนนั้นในอนาคต” นายอภิชาติ กล่าว