ธุรกิจลอจิสติกส์ในเครือ “สหพัฒน์” แตกไลน์ลุยธุรกิจท่องเที่ยว ตั้งบริษัท ไทเกอร์ กรุ๊ป โวเคชั่น จำกัด หรือ “ทีจีวี” พร้อมปรับโครงสร้างใหม่ ผนึกพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญหลายด้าน เตรียมใช้กลยุทธ์ “เที่ยวก่อนผ่อนทีหลัง” หวังให้บริการพนักงานในเครือกว่า 7 หมื่นคน หลังสิ้นปีทำรายได้เข้าเป้ากว่า 50 ล้านบาท
นายวิเชียร กันตถาวร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทเกอร์ ดิสทริบิวชั่น แอนด์ โลจิสติคส์ จำกัด ในเครือสหพัฒน์ ผู้ให้บริการลอจิสติกส์ของไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทฯ ได้ปรับกลยุทธ์และกลุ่มผู้ร่วมทุนใหม่ในบริษัท ไทเกอร์ กรุ๊ป โวเคชั่น จำกัด หรือ “ทีจีวี” ซึ่งเป็นบริษัทฯ ที่ดำเนินธุรกิจการท่องเที่ยว เพื่อทำให้การดำเนินงานจากนี้ไปมีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้นและรองรับกับการเติบโตและการรุกตลาดให้มีศักยภาพมากกว่าเดิม แม้ว่าที่ผ่านมาจะค่อนข้างไปได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ก็ตาม
สำหรับธุรกิจทัวร์ที่บริษัทฯ ได้เริ่มมาประมาณปีเศษแล้วในนาม “ทีจีวี” ในเบื้องต้นจะมุ่งเน้นตลาดบริษัทและพนักงานในเครือสหพัฒน์ก่อน โดยมีกลุ่มผู้ร่วมทุน 3 ฝ่าย คือ ไทเกอร์ฯ ถือหุ้น 49% และพันธมิตรอีก 2 รายถือหุ้นรวมกัน 51% จากทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการเพิ่มทุนจดทะเบียนแต่อย่างใด
ล่าสุด “ทีจีวี” ได้ทำการปรับเปลี่ยนผู้ถือหุ้นใหม่ โดยโครงสร้างใหม่จะเป็นดังนี้ ไทเกอร์ฯ จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงมาหลือ 39% และเปิดทางให้พันธมิตรใหม่ประมาณ 4 รายถือหุ้นรวมกัน 61% โดยมีบริษัท เฮงเชียงทัวร์ จำกัด เป็นแกนนำในกลุ่มใหม่ซึ่งถือเป็นผู้ประกอบการทัวร์รายใหญ่มีความเชี่ยวชาญมานานเป็นที่รู้จักดีในวงการ และยังมีบริษัทจรัญบิสซิเนส จำกัด ที่เชี่ยวชาญทางด้านการขายตั๋ว และบริษัท เอวิเอเซีย จำกัด ที่เป็นตัวแทนสายการบินต่างๆ ซึ่งกล่าวได้ว่าพันธมิตรใหม่ล้วนมีความแข็งแกร่งและอยู่ในตลาดนี้มานานทั้งยังมีเครือข่ายพร้อม
นายวิเชียรกล่าวว่า ที่ผ่านมาการเดินทางไปต่างประเทศของพนักงาน หรือแม้แต่ผู้บริหารในเครือที่ไปศึกษา หรือไปดูงานในต่างประเทศก็ต่างคนต่างทำ ไม่มีตัวกลางดำเนินการให้ ตรงนี้เองเราก็จะเข้าไปจัดการให้เป็นระบบ หรือแม้แต่การให้รางวัลกับพนักงาน หรือการที่พนักงานจะเดินทางท่องเที่ยวก็สามารถใช้บริการเราได้ เป็นพี่น้องในเครือเดียวกันดีกว่าไปใช้บริการที่อื่น ซึ่งปีที่แล้วเราตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 50 ล้านบาทและสามารถทำได้ใกล้เคียงกับเป้าหมาย
ทางด้านแหล่งข่าวจาก บริษัท เฮงเชียงทัวร์ จำกัด กล่าวว่า เป้าหมายเบื้องต้นของ “ทีจีวี” จะให้บริการแก่พนักงานและบริษัทในเครือสหพัฒน์ก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งทั้งเครือก็มีบริษัทมากกว่า 300 แห่งและมีพนักงานรวมกันมากกว่า 7 หมื่นคน แค่นี้ก็เป็นตลาดใหญ่แล้ว โดยที่กลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่จะเข้าบริหารร่วมกันในเร็วๆ นี้ ทั้งนี้ บริษัทฯ จะใช้เวลาประมาณปีเศษในการดำเนินงานก่อนที่จะกำหนดชัดเจนว่าเราจะมีรายได้เท่าไร หรือเติบโตเท่าไร
“โจทย์ใหญ่ตอนนี้คือจะทำอย่างไรให้พนักงานในเครือรู้ว่าเรามีบริการตรงนี้และจะทำอย่างไรให้เขามาใช้บริการเราให้ได้ ซึ่งเราเองก็ต้องทำตลาดให้ดีและพยายามทำให้ราคาต่ำกว่าบริษัททัวร์ข้างนอก ซึ่งไม่น่าจะเป็นเรื่องยากอะไร เพราะเราก็มีเครือข่ายธุรกิจนี้พร้อมอยู่แล้ว แพกเกจเราก็มีความเชี่ยวชาญสามารถจัดให้ได้อย่างเหมาะสม เพราะในตลาดบริษัททัวร์ก็แข่งขันกันสูงและมีหลายกลยุทธ์ เช่น ไปเที่ยวก่อนแล้วผ่อนชำระ 50% ก่อนก็ได้ หรือผ่อน 0% นาน 3 เดือน ตอนนี้นานเป็น 10 เดือนแล้ว ดังนั้นเราจึงต้องสร้างแรงจูงใจให้มาก”
แหล่งข่าวคนเดิมกล่าวอีกว่า ตลาดท่องเที่ยวเอาต์บาวนด์ของไทย หรือการท่องเที่ยวไปต่างประเทศมีอัตราเติบโต 3% ต่อปี โดยมีปริมาณตั๋วอยู่ที่ 3 ล้านใบต่อปี ซึ่งถ้าเราสามารถแชร์ตลาดมาได้ 7 หมื่นใบก็ถือว่ามากแล้ว จากเอเยนต์ทัวร์ที่มีมากกว่า 300 กว่าแห่งในไทย ขณะที่สิงคโปร์ที่เป็นประเทศที่เล็กกว่าเรามาก ในแต่ละปีเขายังมีปริมาณตั๋วออกนอกประเทศ 4 ล้านใบยังมากกว่าเราเลย
นายวิเชียร กันตถาวร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทเกอร์ ดิสทริบิวชั่น แอนด์ โลจิสติคส์ จำกัด ในเครือสหพัฒน์ ผู้ให้บริการลอจิสติกส์ของไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทฯ ได้ปรับกลยุทธ์และกลุ่มผู้ร่วมทุนใหม่ในบริษัท ไทเกอร์ กรุ๊ป โวเคชั่น จำกัด หรือ “ทีจีวี” ซึ่งเป็นบริษัทฯ ที่ดำเนินธุรกิจการท่องเที่ยว เพื่อทำให้การดำเนินงานจากนี้ไปมีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้นและรองรับกับการเติบโตและการรุกตลาดให้มีศักยภาพมากกว่าเดิม แม้ว่าที่ผ่านมาจะค่อนข้างไปได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ก็ตาม
สำหรับธุรกิจทัวร์ที่บริษัทฯ ได้เริ่มมาประมาณปีเศษแล้วในนาม “ทีจีวี” ในเบื้องต้นจะมุ่งเน้นตลาดบริษัทและพนักงานในเครือสหพัฒน์ก่อน โดยมีกลุ่มผู้ร่วมทุน 3 ฝ่าย คือ ไทเกอร์ฯ ถือหุ้น 49% และพันธมิตรอีก 2 รายถือหุ้นรวมกัน 51% จากทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการเพิ่มทุนจดทะเบียนแต่อย่างใด
ล่าสุด “ทีจีวี” ได้ทำการปรับเปลี่ยนผู้ถือหุ้นใหม่ โดยโครงสร้างใหม่จะเป็นดังนี้ ไทเกอร์ฯ จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงมาหลือ 39% และเปิดทางให้พันธมิตรใหม่ประมาณ 4 รายถือหุ้นรวมกัน 61% โดยมีบริษัท เฮงเชียงทัวร์ จำกัด เป็นแกนนำในกลุ่มใหม่ซึ่งถือเป็นผู้ประกอบการทัวร์รายใหญ่มีความเชี่ยวชาญมานานเป็นที่รู้จักดีในวงการ และยังมีบริษัทจรัญบิสซิเนส จำกัด ที่เชี่ยวชาญทางด้านการขายตั๋ว และบริษัท เอวิเอเซีย จำกัด ที่เป็นตัวแทนสายการบินต่างๆ ซึ่งกล่าวได้ว่าพันธมิตรใหม่ล้วนมีความแข็งแกร่งและอยู่ในตลาดนี้มานานทั้งยังมีเครือข่ายพร้อม
นายวิเชียรกล่าวว่า ที่ผ่านมาการเดินทางไปต่างประเทศของพนักงาน หรือแม้แต่ผู้บริหารในเครือที่ไปศึกษา หรือไปดูงานในต่างประเทศก็ต่างคนต่างทำ ไม่มีตัวกลางดำเนินการให้ ตรงนี้เองเราก็จะเข้าไปจัดการให้เป็นระบบ หรือแม้แต่การให้รางวัลกับพนักงาน หรือการที่พนักงานจะเดินทางท่องเที่ยวก็สามารถใช้บริการเราได้ เป็นพี่น้องในเครือเดียวกันดีกว่าไปใช้บริการที่อื่น ซึ่งปีที่แล้วเราตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 50 ล้านบาทและสามารถทำได้ใกล้เคียงกับเป้าหมาย
ทางด้านแหล่งข่าวจาก บริษัท เฮงเชียงทัวร์ จำกัด กล่าวว่า เป้าหมายเบื้องต้นของ “ทีจีวี” จะให้บริการแก่พนักงานและบริษัทในเครือสหพัฒน์ก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งทั้งเครือก็มีบริษัทมากกว่า 300 แห่งและมีพนักงานรวมกันมากกว่า 7 หมื่นคน แค่นี้ก็เป็นตลาดใหญ่แล้ว โดยที่กลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่จะเข้าบริหารร่วมกันในเร็วๆ นี้ ทั้งนี้ บริษัทฯ จะใช้เวลาประมาณปีเศษในการดำเนินงานก่อนที่จะกำหนดชัดเจนว่าเราจะมีรายได้เท่าไร หรือเติบโตเท่าไร
“โจทย์ใหญ่ตอนนี้คือจะทำอย่างไรให้พนักงานในเครือรู้ว่าเรามีบริการตรงนี้และจะทำอย่างไรให้เขามาใช้บริการเราให้ได้ ซึ่งเราเองก็ต้องทำตลาดให้ดีและพยายามทำให้ราคาต่ำกว่าบริษัททัวร์ข้างนอก ซึ่งไม่น่าจะเป็นเรื่องยากอะไร เพราะเราก็มีเครือข่ายธุรกิจนี้พร้อมอยู่แล้ว แพกเกจเราก็มีความเชี่ยวชาญสามารถจัดให้ได้อย่างเหมาะสม เพราะในตลาดบริษัททัวร์ก็แข่งขันกันสูงและมีหลายกลยุทธ์ เช่น ไปเที่ยวก่อนแล้วผ่อนชำระ 50% ก่อนก็ได้ หรือผ่อน 0% นาน 3 เดือน ตอนนี้นานเป็น 10 เดือนแล้ว ดังนั้นเราจึงต้องสร้างแรงจูงใจให้มาก”
แหล่งข่าวคนเดิมกล่าวอีกว่า ตลาดท่องเที่ยวเอาต์บาวนด์ของไทย หรือการท่องเที่ยวไปต่างประเทศมีอัตราเติบโต 3% ต่อปี โดยมีปริมาณตั๋วอยู่ที่ 3 ล้านใบต่อปี ซึ่งถ้าเราสามารถแชร์ตลาดมาได้ 7 หมื่นใบก็ถือว่ามากแล้ว จากเอเยนต์ทัวร์ที่มีมากกว่า 300 กว่าแห่งในไทย ขณะที่สิงคโปร์ที่เป็นประเทศที่เล็กกว่าเรามาก ในแต่ละปีเขายังมีปริมาณตั๋วออกนอกประเทศ 4 ล้านใบยังมากกว่าเราเลย
