อำพลฟูดส์ฯ เดินหน้าขยายกำลังการผลิตกะทิชาวเกาะเพิ่มขึ้นอีก 50% เป็น 300 ตัน/ปี คาดผลิตได้ปลายปีนี้รองรับความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้นทั้งตลาดส่งออกและในประเทศ แย้มรอการปรับผังเมืองใหม่จังหวัดราชบุรี ก่อนลุยสร้างโรงงานผลิตกะทิสดเพิ่มขึ้นอีกหลังล่าช้ามาร่วม 2 ปี ตั้งเป้ายอดขายปีนี้เพิ่มขึ้นแตะ 3,000 ล้านบาท
นายเกรียงศักดิ์ เทพผดุงพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท อำพลฟูดส์ โพรเซสซิ่ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตกะทิสดในกล่องยูเอชทีแบรนด์ “ชาวเกาะ” และน้ำนมข้าวกล้อง เปิดเผยแผนการลงทุนในปีนี้ว่า บริษัทฯ ได้เดินหน้าลงทุนติดตั้งเครื่องจักรเพื่อขยายกำลังการผลิตกะทิสดยูเอชที “ชาวเกาะ” ที่จังหวัดนครปฐม คาดว่าจะผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในปลายปีนี้ ทำให้มีกำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นจาก 200 ตัน/ปี เพิ่มขึ้นเป็น 300 ตัน/ปี ใช้เงินลงทุน 200 ล้านบาท โดยเน้นผลิตกะทิชาวเกาะยูเอชทีขนาด 2,000 มิลลิลิตร (มล.) และ 250 มล.
โครงการขยายกำลังผลิตกะทิสดกล่องยูเอชทีนี้ล่าช้ากว่ากำหนดเดิมเนื่องจากติดปัญหาการขอใบอนุญาตประกอบกิจการ ทำให้บริษัทฯ ตัดสินใจเดินหน้าโครงการไปก่อนที่จะได้รับใบอนุญาตจนถูกปรับเป็นเงินประมาณ 2 แสนบาท แต่หลังจากการทำรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทำให้บริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตทันที
นายเกรียงศักดิ์กล่าวต่อไปว่า บริษัทฯ ยังมีแผนที่จะขยายโรงงานผลิตกะทิสดกล่องยูเอชทีที่จังหวัดราชบุรี โดยได้ซื้อที่ดินไว้แล้ว 80 ไร่ ใช้เงินลงทุน 500 ล้านบาท แต่การประกาศผังเมืองใหม่พบว่าพื้นที่ดังกล่าวกลายเป็นพื้นที่สีเขียว ไม่สามารถตั้งโรงงานได้ ซึ่งเดิมตอนซื้อที่ดินนั้นไม่ใช่พื้นที่สีเขียวเพราะโรงงานขนาดใหญ่หลายโรงตั้งอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว เชื่อว่าจะมีการปรับผังเมืองในเร็วๆ นี้ ซึ่งบริษัทฯ ก็พร้อมที่จะเดินหน้าทันที โดยจะผลิตกะทิสดยูเอชทีและผลิตภัณฑ์อื่นๆ โดยจะติดไลน์การผลิตใหม่ที่สายการผลิตยาวเพื่อลดต้นทุนการขนส่ง
“เดิมบริษัทฯ มีแผนที่จะขยายการลงทุนผลิตกะทิชาวเกาะไปที่จังหวัดราชบุรีเมื่อ 2 ปีที่แล้ว แต่ติดปัญหาเรื่องผังเมือง ทำให้ต้องขยายกำลังการผลิตที่โรงงานเก่าอีก 50% แทน ซึ่งความจริงไม่อยากขยายที่โรงงานเดิมแล้วเพราะพื้นที่เต็ม”
สำหรับธุรกิจของบริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัทอยู่ในกลุ่มธุรกิจอาหาร โดยยอดขายไม่ได้ตกลงในช่วงการเมืองไทยไม่นิ่ง ขณะที่ภาพรวมการลงทุนในครึ่งปีหลังเชื่อว่าการลงทุนชัดเจนขึ้น นักธุรกิจกล้าที่จะลงทุน และผู้บริโภคจะกล้าใช้เงินมากขึ้น
ในปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 3,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มียอดขาย 2,400 ล้านบาท เนื่องจากโรงงานส่วนขยายกำลังผลิตกะทิสดกล่องยูเอชทีขนาด 2,000 มล.จะเสร็จในเดือน ก.ค.นี้ ทำให้รับรู้รายได้เพิ่มขึ้น โดยยอมรับว่าที่ผ่านมามะพร้าวไทยขาดแคลน ทำให้ต้องนำเข้าจากอินโดนีเซียและเวียดนามประมาณ 100 ล้านตัน ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นบ้าง
ส่วนการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 บริษัทวางเป้าหมายการส่งออกกะทิสดกล่องยูเอชทีไปยังอาเซียนเพิ่มขึ้นจากเดิม 10% เป็น 20% ของยอดส่งออก 1,000 ล้านบาท โดยตลาดส่งออกหลักยังคงเป็นสหภาพยุโรป 60% ญี่ปุ่น 20% เนื่องจากต่างประเทศนิยมนำกะทิสดชาวเกาะไปประกอบอาหารไทยเพิ่มมากขึ้น