ประชุม “กบง.” นัดแรกที่มี พล.อ.อ.ประจิน เป็นประธานมีมติสั่งลดราคาขายปลีกดีเซลลง 14 สตางค์ต่อลิตร ทำให้ราคาดีเซลลดเหลือลิตรละ 29.85 บาท มีผล 13 มิ.ย. เผยที่ลดน้อยเพราะกองทุนน้ำมันฯ ยังติดลบขอเวลาดูภาพใหญ่ไม่เกินสิ้นเดือนนี้ พร้อมเตรียมประสานทุกฝ่ายถกประเด็นร้อนด้านพลังงาน 15 มิ.ย. ทั้งน้ำมันมีมากในไทย ราคาน้ำมันไทยแพงกว่าที่อื่นๆ ก่อนวิเคราะห์ชงหัวหน้า คสช.ประมวลเพื่อเปิดเผยข้อเท็จจริงกับประชาชนอีกครั้ง
พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในฐานะหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจและทีมที่ปรึกษาเศรษฐกิจ เปิดเผยหลังการเป็นประธานประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงาน (กบง.) วันที่ 12 มิ.ย. 57 ว่า ที่ประชุม กบง.ได้พิจารณาค่าการตลาดของดีเซลที่สามารถลดลงได้ 70 สตางค์ต่อลิตร จึงมีมติเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนของดีเซลจำนวน 56 สตางค์ต่อลิตร จากเดิมที่เก็บ 0.25 บาทต่อลิตรเป็นเก็บ 0.81 บาทต่อลิตร และที่เหลือ 14 สตางค์ต่อลิตรให้ลดราคาขายปลีกน้ำมันเขต กทม.และปริมณฑลให้แก่ประชาชน จากเดิมที่ตรึงไว้ที่ 29.99 บาทต่อลิตรเหลือ 29.85 บาทต่อลิตรมีผลตั้งแต่ 13 มิ.ย.จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างราคาน้ำมันภาพรวมใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไม่เกินสิ้นเดือน มิ.ย.นี้
“ก็พยายามจะปรับโครงสร้างราคาพลังงานภาพรวมใหญ่อีกครั้งที่จะต้องพิจารณาถึงโครงสร้างทั้งราคาแอลพีจี โดยราคาแอลพีจีครัวเรือนก็ยังคงยึดราคาเดิมที่ 22.63 บาทต่อกิโลกรัมไปก่อนเช่นกัน เพราะกองทุนน้ำมันฯ เองก็ยังติดลบก็ต้องดูภาพรวมใหม่ การเก็บครั้งนี้จะมีรายได้เข้ากองทุนฯ เพิ่ม 30 ล้านบาทต่อวัน ส่วนการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) คงจะต้องประสานหัวหน้า คสช.ซึ่งเป็นประธานอีกครั้งหนึ่ง” พล.อ.อ.ประจินกล่าว
นอกจากนี้ ในวันที่ 15 มิ.ย.จะเชิญทุกฝ่ายที่มีข้อมูลมาหารือถึงประเด็นพลังงานที่กำลังเป็นที่ถกเถียงกัน ได้แก่ ประเทศไทยมีพลังงานมากน้อยเพียงใด มีการนำเข้ามาจากประเทศหรือไม่อย่างไร นอกจากนี้ยังมีข้อมูลที่สับสนว่าไทยมีการจำหน่ายน้ำมัน และก๊าซออกไปยังต่างประเทศจำนวนมาก ซึ่งเหล่านี้จะต้องมาดูว่าแล้วจะต้องยุบกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงหรือไม่ และแหล่งพลังงานไทยจะหมดในเร็วๆ นี้จะเกี่ยวข้องกับการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่อย่างไร ซึ่งประเด็นเหล่านี้จะต้องมาวิเคราะห์และรับฟังจากทุกฝ่ายก่อนที่จะมีการนำเสนอต่อหัวหน้า คสช.ให้พิจารณาเพื่อนำมาเปิดเผยข้อมูลที่เป็นจริงให้แก่ประชาชนต่อไป