การเมืองฟาดหางกำลังซื้อหด ตลาดร้านหนังสืออ่วมคาดตก 10% ในปีนี้ “ซีเอ็ด” ลุ้นกอบกู้รายได้ผ่านสินค้ากลุ่มนอนบุ๊ก ชูเอ็กซ์คลูซีฟแบรนด์เพิ่มรายได้ โฟกัส “ซีเอ็ด เลิร์นนิ่ง เซ็นเตอร์” ผุดเพิ่มเป็น 100 แห่งในสิ้นปีนี้ พร้อมสร้างความแข็งแกร่งในบริษัทรับฟ้าหลังฝน หวังรายได้ดีที่สุด 5,000 ล้านบาทเท่าปีก่อน หรือตกลงเล็กน้อยต่อเนื่องเป็นปีที่ 2
นายทนง โชติสรยุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจเชนร้านหนังสือมูลค่า 20,000 ล้านบาทในปีนี้ในแง่ยอดขายมีแนวโน้มลดลง 10% จากปัญหาเศรษฐกิจและการเมือง ทำให้ผู้บริโภคไม่มีอารมณ์ในการใช้จ่าย ไม่เดินห้าง ส่งผลให้ยอดขายหนังสือในร้านเชนหนังสือที่ส่วนใหญ่อยู่ในห้างลดลงตามไปด้วย
จากความเป็นจริงที่พบว่าคนไทยไม่ได้อ่านหนังสือลดลง และยอดขายเฉลี่ยต่อคนต่อครั้งยังอยู่ที่ประมาณ 200 บาท โดยในช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมาเชนร้านหนังสือมียอดขายลดลงไปแล้วกว่า 7-8% แต่สำหรับร้านซีเอ็ดพบว่ามียอดขายลดลงน้อยมาก เนื่องจากได้มีการปรับแผนรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นมาได้สัก 1-2 ปีแล้ว โดยแผนการดำเนินธุรกิจของร้านซีเอ็ดหลังจากนี้จะวางโพซิชันเป็น “ร้านหนังสือและนวัตกรรม” เป็นร้านหนังสือที่เป็นศูนย์รวมกับสินค้าที่ดีมีนวัตกรรมและความเป็นเอ็กซ์คลูซีฟแบรนด์มาจำหน่าย โดยปีนี้จะเพิ่มสัดส่วนสินค้ากลุ่มนอนบุ๊กเป็น 40% จากเดิมปีก่อนอยู่ที่ 20% โดยเฉพาะสินค้าแบรนด์ไทย เช่น กล่อง Penta TV, มาสก์หน้า, เก้าอี้เพื่อสุขภาพ, ถุงเท้าเพื่อสุขภาพ เป็นต้น ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ซีเอ็ดยังมียอดขายที่ดีอยู่
“สินค้ากลุ่มนอนบุ๊กเป็นสินค้าที่มียอดขายเติบโตดีมาก ขณะที่หนังสือกลับมียอดขายลดลง การที่บริษัทมุ่งสินค้ากลุ่มนอนบุ๊กมากขึ้นถือเป็นส่วนสำคัญที่ยังคงช่วยให้มียอดขายที่ดีอยู่”
ส่วนในเรื่องของแผนลงทุนเพิ่มจำนวนร้านซีเอ็ดนั้น หลังจากนี้จะเพิ่มสาขาใหม่ในจำนวนที่น้อยลงจากปีก่อนๆ เนื่องจากพบว่าเชนร้านหนังสือที่มีอยู่ในปัจจุบันค่อนข้างครอบคลุมทุกพื้นที่แล้ว โดยจะเปิดสาขาใหม่เพียง 10 สาขาเท่านั้น ลงทุนสาขาละ 2 ล้านบาท รวมแล้วน่าจะใช้งบประมาณราว 20 ล้านบาท ถึงสิ้นปีซีเอ็ดน่าจะมีเปิดให้บริการครบ 500 สาขา จากปัจจุบันมีอยู่ 490 กว่าสาขา
ทั้งนี้ บริษัทจะให้ความสำคัญต่อ “ซีเอ็ดเลิร์นนิ่งเซ็นเตอร์” มากขึ้น จากปัจจุบันเปิดให้บริการอยู่ 40 ศูนย์ ภายใน 2 ปีหลังจากนี้จะเปิดให้ครบ 100 ศูนย์ เป็นการขยายสาขาในรูปแบบแฟรนไชส์ มีลักษณะเป็นศูนย์การเรียนรู้สำหรับเด็กระดับอนุบาล 3 ถึงระดับประถมศึกษา ให้ความรู้เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษและหุ่นยนต์คือหนึ่งในแผนธุรกิจที่ต้องการทำให้คนไทยเก่งขึ้น
นางทนง กล่าวต่อว่า จากแผนการดำเนินงานที่กล่าวมาเชื่อว่าถึงสิ้นปีนี้บริษัทน่าจะมีรายได้ตกลงไม่มากนัก หลังจาก 2 ปีที่ผ่านมาผลจากการเมืองและเศรษฐกิจทำให้ซีเอ็ดมีรายได้ตกลง หรือมีรายได้รวมอยู่ที่ 5,000 ล้านบาท สิ้นปีนี้น่าจะทำได้เท่าเดิมหรืออาจจะลดลงเล็กน้อยจากที่เคยทำได้สูงสุดอยู่ที่ 5,500 ล้านบาท ทั้งนี้ มองว่าหากการเมืองยังไม่นิ่ง ผลประกอบการปีต่อไปก็อาจจะตกลง ซึ่งบริษัทสามารถทำได้เพียงสร้างความแข็งแกร่งภายในองค์กรรองรับสถานการณ์เท่านั้นและหากเศรษฐกิจและการเมืองฟื้นกลับมาอีกครั้ง ซีเอ็ดก็จะมีความพร้อมที่จะดำเนินธุรกิจต่อไปด้วยความแข็งแกร่งที่มีมากยิ่งขึ้น