โอดรายได้ปี 56 โตเพียง 1% จากเป้า 12% ระบุเหตุสำคัญมาจากปัญหาการเมือง เศรษฐกิจ และกำลังซื้อที่ลดลง แต่มั่นใจตลาด 6 พันล้านบาทจะยังโต 5-8% เพราะประชากรมีปัญหาจากการใช้สายตามากขึ้นเพราะการเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่ๆ เตรียมแก้วิกฤตด้วยการลดจำนวนสินค้า สาขา และแบรนด์ พร้อมมุ่งหน้าทำตลาดเออีซีเพิ่มขึ้น หลังทำยอดขายในสิงคโปร์และมาเลเซียได้ถึง 25% ของรายได้รวม
นายภาคี ประจักษ์ธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท หอแว่นกรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทยช่วง 2 ปีมานี้ไม่ค่อยดีนัก ทั้งปัญหาการเมือง ปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหากำลังซื้อที่ถดถอยลง โดยยอดขายรวม 4 เดือนแรกของบริษัทปีนี้เติบโตแค่ 1% เท่านั้นเอง ในขณะที่ตั้งเป้าหมายการเติบโตตลอดปี 2557 ไว้ที่ 10% จากปีที่แล้วที่เติบโตเพียง 1% จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 12%
“ปัจจัยลบเหล่านี้ทำให้ไม่สามารถวางแผนธุรกิจระยะยาวได้ แต่ต้องวางแผนระยะสั้นแบบปีต่อปี บริษัทฯ จึงได้ดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยมีการปรับตัวทั้งในด้านของการลดจำนวนสต๊อกสินค้าลงมากกว่า 50% การลดจำนวนการเปิดสาขาใหม่และปิดสาขาในหลายแห่ง โดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่อยู่ในไฮเปอร์มาร์เกตเพราะต่อรองกับเจ้าของพื้นที่ไม่ลงตัวและค่าธรรมเนียมที่เก็บสูงเกินความจำเป็น รวมทั้งการลดจำนวนแบรนด์แว่นตาและอุปกรณ์ในร้านลงจากเดิมมากกว่า 20 แบรนด์เหลือประมาณ 10 แบรนด์เท่านั้น”
นายภาคีกล่าวต่อว่า การดำเนินธุรกิจจากนี้ไม่เน้นขยายสาขามาก แต่จะพยายามให้อยู่ในระดับปัจจุบันคือ 130 กว่าสาขา ซึ่งอาจจะมีการปิดบางสาขาและเปิดสาขาใหม่ทดแทนแล้วแต่กรณี โดยปีนี้จะเปิดอีก 3 สาขา คือที่เซ็นทรัล ศาลายา เซ็นทรัล หาดใหญ่ และเซ็นทรัล เวสต์เกต บางใหญ่ งบลงทุนรวมประมาณ 12-18 ล้านบาท แบ่งเป็นสาขาละประมาณ 4-6 ล้านบาท โดยจะเน้นการทำยอดขายและกำไรจากสาขาเดิมให้มากขึ้น ขณะเดียวกันก็จะมีการออกสินค้าใหม่ๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นและสร้างมูลค่าเพิ่มในตัวสินค้าแตกต่างจากคู่แข่ง เช่น นาโนบลู คือเลนส์แบบใหม่ที่ใช้เพื่อป้องกันสายตาเสียอันเนื่องมาจากการใช้สายตากับจอคอมพิวเตอร์หรือจออื่นๆ มากเกินไป
นอกจากนั้นยังจะมีการขยายธุรกิจในต่างประเทศมากขึ้นเพื่อเป็นการรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซีในปี 2558 จากเดิมที่มีอยู่ในสิงคโปร์ 11 สาขา และมาเลเซีย 10 สาขา ซึ่งใน 2 ประเทศนี้มียอดขายเติบโตดี โดยมีสัดส่วนรายได้ประมาณ 25% จากรายได้รวมและเติบโตถึง 7% ทั้งๆ ที่มีเพียง 21 สาขาเท่านั้น โดยขณะนี้กำลังอยูในระหว่างการศึกษาตลาดเวียดนามเพิ่มขึ้น
สำหรับตลาดรวมแว่นตาและอุปกรณ์ในไทยมีมูลค่าประมาณ 6 พันล้านบาทต่อปี แบ่งเป็นตลาดแว่นสายตา 4 พันล้านบาท ตลาดแว่นกันแดด 800 ล้านบาท และอื่นๆ 1.2 พันล้านบาท โดยปัจจุบันหอแว่นถือเป็นผู้นำทางการตลาดโดยมีฐานลูกค้าประมาณ 1.5 แสนราย ส่วนในปี 2557 คาดว่าตลาดรวมจะเติบโตประมาณ 5-8% เนื่องจากพฤติกรรมการใช้สายตาของประชากรในปัจจุบันมีปัจจัยเสี่ยงด้านต่างๆ เพิ่มมากขึ้น
“จากวิถีการดำรงชีวิต การทำงาน รวมถึงเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่ๆ ในปัจจุบันล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้คนประสบปัญหาเรื่องสายตามากขึ้น โดยปัญหาด้านสายตาที่พบช่วงวัยรุ่นและวัยเรียนคือปัญหาเรื่องสายตาสั้นและเอียง จะตัดแว่นสายตาเฉลี่ยปีละครั้งเพราะสายตายังไม่คงที่ เช่นเดียวกับกลุ่มวัยทำงานที่ประสบปัญหาเรื่องสายตาสั้นและเอียง เนื่องมาจากปัญหาด้านสายตาเมื่อยล้าจากการทำงานหน้าจอเป็นเวลานานๆ ส่งผลให้การมองไกลไม่ชัดชั่วคราวจะตัดแว่นเฉลี่ยปีละครั้ง ขณะที่กลุ่มผู้มีอายุประมาณ 40 ปีขึ้นไปจะประสบปัญหาเรื่องสายตายาวซึ่งจะทำให้มีปัญหาในการมองมากกว่า 1 ระยะ กลุ่มนี้จะตัดแว่นเฉลี่ย 1-2 ครั้งต่อปี หรือาจแก้ไขปัญหาด้วยการใส่แว่นสายตา 2 เลนส์ หรือเลนส์โปรเกรสซีฟ”
ล่าสุดบริษัทได้ร่วมมือกับ ศูนย์รักษ์สายตา โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน ในการให้ความรู้แก่พนักงานเพื่อบริการลูกค้าได้ถูกต้องก่อนที่จะพบจักษุแพทย์ เพื่อยกระดับการให้บริการเหนือกว่าคู่แข่ง รวมทั้งการส่งต่อลูกค้าซึ่งกันและกันด้วย