“ซัสโก้” โอดการเมืองไทยยืดเยื้อฉุดเศรษฐกิจหดตัว ส่งผล “ลอว์สัน” ร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ญี่ปุ่นชะลอการลงทุนเปิดร้านในปั๊มซัสโก้จากปีนี้ไปเป็นปี 58 เผยเร่งเปลี่ยนโลโก้ปั๊มปิโตรนาสเป็นซัสโก้ทั้งหมดในสิ้นไตรมาส 3 และรอดูผลดำเนินงานไตรมาส 2 นี้ก่อนพิจารณาปรับลดเป้ารายได้โตปีนี้ หลังตลาดน้ำมันในประเทศหดตัวลง
นายชัยฤทธิ์ สิมะโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซัสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยความคืบหน้าการดึงพันธมิตรเข้ามาบริหารจัดการร้านสะดวกซื้อในสถานีบริการซัสโก้ว่า ตามที่บริษัทฯ ได้มีการเจรจากับพันธมิตรเพื่อเปิดร้านสะดวกซื้อ “ลอว์สัน” (Lawson) แบรนด์ญี่ปุ่นในปั๊มซัสโก้นั้นคงต้องชะลอออกไป คงไม่ทันในปีนี้ เนื่องจากสถานการณ์บ้านเมืองในประเทศที่ยังวุ่นวายฉุดให้เศรษฐกิจในประเทศชะลอตัวลง ทำให้ทางลอว์สันตัดสินใจเลื่อนไปเป็นปีหน้า จากเดิมที่จะเปิดให้บริการในปั๊มซัสโก้ 2-3 แห่ง
บริษัทฯ ยังยืนยันว่าดีลดังกล่าวยังไม่ล้มแน่นอน ส่วนร้านสะดวกซื้อลอว์สันจะเปิดที่ปั๊มสาขาใดบ้างนั้นคงต้องมีการพิจารณาร่วมกัน และเปิดกี่สาขาขึ้นอยู่กับทำเล ยังไม่ได้มีการตกลงในรายละเอียด อย่างไรก็ตาม ร้านสะดวกซื้อแบรนด์ “ซูเรีย” ที่ติดพ่วงมาจากการซื้อกิจการปั๊มปิโตรนาสจะยังเปิดให้บริการอยู่ แต่สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนแบรนด์ไป โดยบริษัทฯ ก็มีการเปลี่ยนเป็นร้านสะดวกซื้อซัสโก้มาร์ท บ้างแล้ว
ทั้งนี้ บริษัทจะเปลี่ยนโลโก้ปั๊มน้ำมันปิโตรนาสเป็นซัสโก้ทั้งหมดภายในสิ้นไตรมาส 3 นี้ จากปัจจุบันที่ได้ทยอยเปลี่ยนโลโก้ไปแล้ว 20 แห่งจากทั้งหมด 96 แห่ง ใช้เงินลงทุนในการปรับเปลี่ยนเป็นปั๊มซัสโก้ 2-3 ล้านบาท/ปั๊ม ซึ่งงบลงทุนดังกล่าวบริษัทฯ ได้จัดสรรไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะเดียวกันก็จะโหมโปรโมตปั๊มซัสโก้ให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น โดยการแจกน้ำเมื่อซื้อน้ำมัน และได้หารือกับเอเยนซีในการทำแบรนดิ้งด้วยจากปัจจุบันที่มีปั๊มน้ำมันอยู่ 224 แห่งทั่วประเทศ
นายชัยฤทธิ์กล่าวต่อถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2557 ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวม 6,217 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยเพียง 36.88 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.59% และมีกำไรก่อนภาษีเงินได้ 37.39 ล้านบาท เทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 65.51 ล้านบาท ลดลง 43% เพราะกำไรจากการขายสินทรัพย์ลดลง ทำให้ไตรมาสแรกปีนี้มีกำไรสุทธิ 22.76 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 83.77 ล้านบาท หรือลดลง 72.83%
ยอดขายในไตรมาสแรกปีนี้ลดลงเล็กน้อย เนื่องจากบริษัทหันมาทำตลาดส่งออกน้ำมันไปยังประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น โดยวางเป้าหมายส่งออกน้ำมันปีนี้คิดเป็น 30-40% ของยอดขายรวม เพื่อชดเชยรายได้ที่หายไปจากภาพรวมตลาดน้ำมันในประเทศหดตัวลง อีกทั้งค่าการตลาดในช่วงไตรมาสแรกต่ำมาก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กำไรสุทธิของบริษัทลดลงค่อนข้างมาก
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสนี้คาดว่าค่าการตลาดน้ำมันจะปรับตัวดีขึ้น จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.40-1.50 บาท/ลิตร ซึ่งค่าการตลาดน้ำมันที่ต่ำนั้นส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากค่ายน้ำมันรายใหญ่มีการชะลอการขยับขึ้นราคาน้ำมัน ลดภาระผู้บริโภคในช่วงที่ผ่านมาหลังจากราคาน้ำมันโลกผันผวนและเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งความจริงค่าการตลาดน้ำมันที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 1.70-1.80 บาท/ลิตร เพราะค่าแรงและค่าไฟฟ้าก็ปรับเพิ่มขึ้นหมดแล้ว
นายชัยฤทธิ์กล่าวต่อไปว่า คงต้องรอดูผลประกอบการไตรมาส 2 นี้ว่าจะเป็นอย่างไร ก็ตัดสินใจว่าจะมีการปรับลดเป้าหมายรายได้ปีนี้ลงหรือไม่ จากเดิมที่บริษัทฯ เคยตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตขึ้น 10% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 2.36 หมื่นล้านบาท เนื่องจากปีนี้บริษัทหันมารุกธุรกิจส่งออกน้ำมันไปประเทศเพื่อนบ้านทั้งลาว กัมพูชา และพม่าเพิ่มขึ้น