เหมราชฯ เผยสัญญาณบวก ลูกค้าต่างชาติหวนกลับหลังชะลอตัดสินใจจากปัญหาการเมือง มั่นใจไตรมาส 2 ยอดขายที่ดินนิคมฯ ดีขึ้นกว่าไตรมาส 1/57 และครึ่งหลังนี้เข้าสู่ภาวะปกติ ชี้ทั้งปีขายที่ได้ตามเป้า 1.6 พันไร่ โกยรายได้เท่าปีก่อน 8.77 พันล้านบาท เหตุรับรู้รายได้จากธุรกิจไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ชดเชยรายได้จากนิคมฯ ที่หายไป จ่อลงทุนโรงไฟฟ้า SPP เพิ่มอีก 5 โรง โรงละ 126 เมกะวัตต์ ใช้เงิน 1.8-1.9 พันล้านบาท
นายเดวิด นาร์โดน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ไตรมาส 2 นี้แนวโน้มการขายที่ดินนิคมฯ กระเตื้องดีขึ้นกว่าไตรมาส 1/2557 เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติที่เคยชะลอการตัดสินใจเมื่อปลายปีที่แล้วจากปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองได้กลับมาติดต่อของดูพื้นที่ และหลายโครงการที่อุตสาหกรรมเริ่มฟื้นตัวก็ปัดฝุ่นกลับมาเดินหน้าลงทุนต่อ เช่น ยานยนต์ ชิ้นส่วนและปิโตรเคมี เป็นสัญญาณที่ดีว่านักลงทุนกลับมาเชื่อมั่นมากขึ้น คาดว่าครึ่งปีหลังสถานการณ์คงกลับสู่ภาวะปกติ
รวมทั้งมีการแต่งตั้งคณะกรรมการการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ชุดใหม่ ทำให้โครงการส่งเสริมการลงทุนที่คั่งค้างอยู่ 5-6 แสนล้านบาทคาดว่าบอร์ดบีโอไอจะพิจารณาใช้เวลาพิจารณาอนุมัติไม่เกิน 2-3 เดือน และในช่วง 2 เดือนนี้พบว่ามีนักลงทุนอินเดียเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น
ดังนั้น บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายการขายที่ดินในปีนี้ 1,600 ไร่ แม้ว่าไตรมาสแรกจะขายที่ดินไปได้เพียง 121 ไร่ แต่เชื่อว่าไตรมาส 2 ยอดขายที่ดินจะเพิ่มมากขึ้น และกลับสู่ภาวะปกติในครึ่งหลัง คาดว่าที่ดินส่วนใหญ่ขายให้ลูกค้าใหม่คิดเป็นสัดส่วน 70% ส่วนธุรกิจโรงงานสำเร็จรูปและคลังสินค้าให้เช่าพบว่าดีขึ้นจากไตรมาสแรก และธุรกิจสาธารณูปโภคพบว่ามีความต้องการใช้น้ำเพิ่มขึ้น
แม้ว่าเป้าหมายการขายที่ดินในปีนี้ต่ำกว่าปีก่อนที่ขายที่ดินได้ 2.2 พันไร่ แต่รายได้รวมในปีนี้คงใกล้เคียงกับปีก่อนอยู่ที่ 8.77 พันล้านบาท ไม่รวมรายได้จากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนอสังหาฯ เนื่องจากปีนี้บริษัทรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นจากธุรกิจไฟฟ้าทั้งโรงไฟฟ้า SPP ที่ร่วมทุนกับกัลฟ์ฯ และโรงไฟฟ้าเก็คโค่-วัน ที่เดินเครื่องได้ดี คาดว่าจะทำกำไรให้เหมราชฯ ได้ถึง 1,200 ล้านบาทในช่วง 2-3 ปีนี้ ชดเชยรายได้จากการขายที่ดินที่ลดลงไปจากปีก่อน
“ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาบริษัทฯ มียอดขายที่ดินสูงผิดปกติ ทำให้รายได้โตกว่าที่คาดไว้ แต่เป้าหมายการขายที่ในปีนี้ 1,600 ไร่ถือเป็นภาวะปกติ ทั้งนี้บริษัทได้วางแผนบิสิเนสโมเดลระยะยาว โดยมองธุรกิจที่จะเข้ามาเสริมรายได้นอกเหนือจากนิคมฯ เช่น พลังงาน โรงงานสำเร็จรูปให้เช่า เป็นต้น หากนิคมฯ กลับมาบูมอีกครั้ง ก็พร้อมที่จะขายที่ดินเพิ่มเป็น 2.2 พันไร่เหมือนเดิม ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นที่ทำได้ 42% นั้น ในอนาคต 3-5 ปีนี้อาจจะลดลง เนื่องจากธุรกิจพลังงานมีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำกว่านิคมฯ แต่เม็ดเงินเข้ามามาก”
นายเดวิดกล่าวต่อไปว่า แผนการลงทุน 5 ปี (2555-2559) ใช้เงินลงทุน 40,000 ล้านบาท โดย 2 ปีที่ผ่านมาใช้เงินลงทุนไปแล้วทั้งสิ้น 18,000 ล้านบาท และปีนี้จะใช้เงินลงทุนเพิ่มขึ้นอีก 7,000 ล้านบาท โดยเน้นซื้อที่ดินทำนิคมฯ 50% พัฒนานิคมฯ 40% และที่เหลือใช้ในธุรกิจสาธารณูปโภค
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) 5 โรง โรงละ 126 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นการร่วมทุนกับกัลฟ์ 4 โครงการ และอีก 1 โครงการร่วมทุนกับ บี.กริม โดยบริษัทฯ จะถือหุ้น 25% คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 360-370 ล้านบาท/โครงการ หรือรวมทั้งสิ้น 1,800-1,900 ล้านบาท โดยโครงการโรงไฟฟ้าจะแล้วเสร็จปี 2560 หลังจากนั้นยังมีโครงการโรงไฟฟ้า SPP อีก 2 โครงการที่ดำเนินการต่อไป
บริษัทฯ คาดว่าจะรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้า SPP ใหม่ทั้ง 5 โครงการ ประมาณ 40-50 ล้านบาท/โรง หรือรวมทั้งสิ้น 250 ล้านบาท
ในปีนี้บริษัทฯ ไม่มีแผนขายสินทรัพย์เข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ฯ เพิ่มเติม รวมทั้งการออกหุ้นกู้เพิ่ม หลังจากได้ออกหุ้นกู้ไปแล้ว 2.5 พันล้านบาท แต่ปีหน้าอาจจะมีการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนอสังหาฯ เพิ่มเติม