“ซีพีเอฟ” เปิดเกมรุกธุรกิจ “ห้าดาว” ปีนี้ทุ่ม 150 ล้านบาทปูพรมอีก 1,000 สาขาทั้งในไทยและต่างประเทศ พร้อมซุ่มธุรกิจใหม่เตรียมเปิดตัวอีก 2 เดือน อัดโปรโมชันสินค้าใหม่ราคาต่ำกระตุ้นการซื้อรับเศรษฐกิจไม่ดี
นายสถิต สังขนฤบดี รองกรรมการผู้จัดการบริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารธุรกิจห้าดาว หรือไฟว์สตาร์ของเครือซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทฯ มีแผนการลงทุนประมาณ 150 ล้านบาทในการขยายธุรกิจเครือข่ายของห้าดาวในทุกเซกเมนต์ หรือทุกกลุ่มธุรกิจทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยแบ่งเป็นลงทุนในไทยประมาณ 105 ล้านบาทเพื่อขยายสาขาใหม่ประมาณ 700 สาขาจากเดิมมี 5,100 สาขารวมกันทุกเซกเมนต์ คาดว่าสิ้นปีจะเพิ่มเป็น 5,800 สาขา ส่วนอีก 45 ล้านบาทเป็นการขยายสาขาในต่างประเทศอีก 300 สาขาจากเดิมมี 700 สาขา คาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะเพิ่มเป็น 1,000 สาขา โดยใช้งบการตลาดรวม 140 ล้านบาท
จากปัจจุบันที่ “ห้าดาว” มีธุรกิจรวมกันทุกกลุ่ม 6 ประเภทมากกว่า 5,100 สาขา แบ่งเป็น ไก่ย่างห้าดาว จำนวน 2,200 สาขา ไก่ทอดห้าดาว จำนวน 1,750 สาขา ข้าวมันไก่ จำนวน 750 สาขา บะหมี่เกี๊ยวกุ้ง จำนวน 200 สาขา เรดดี้มีล จำนวน 100 สาขา ไส้กรอกโรลเลอร์กริลล์ จำนวน 100 สาขา ซึ่งปีที่แล้วบริษัทฯ ขยายสาขาใหม่รวม 500 กว่าสาขาเท่านั้นเอง ปีนี้ถือว่ามากกว่าเท่าตัว
นอกจากนั้น ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาธุรกิจกลุ่มใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีก เพื่อเป็นการสร้างทางเลือกให้แก่ผู้สนใจทำธุรกิจเป็นของตัวเอง เป็นช่องทางในการสร้างรายได้ให้บริษัทฯ ด้วย โดยคาดว่าจะเปิดตัวธุรกิจใหม่ได้ภายใน 2-3 เดือนจากนี้เป็นประเภทเนื้อสัตว์เสียบไม้ รวมทั้งจะทยอยปรับเปลี่ยนโลโก้ใหม่ซึ่งปรับไปได้ประมาณ 15% แล้วจากจำนวนสาขาทั้งในไทยและต่างประเทศ
สำหรับผลประกอบการปีนี้ตั้งเป้าหมายจะมีรายได้รวม 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็นในไทย 5,100 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่แล้วที่ทำได้ 4,600 ล้านบาท ส่วนต่างประเทศคาดรายได้ 900 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่แล้วที่ทำได้ 600 ล้านบาท หรือโดยรวมจะมีรายได้เติบโต 10%
นายสถิต กล่าวว่า ที่ผ่านมาธุรกิจห้าดาวได้รับการตอบรับอย่างดี โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ค่อยดีนี้กำลังซื้อก็ลดลง ทำให้ธุรกิจห้าดาวเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของผู้สนใจลงทุน รวมทั้งสินค้าก็จำหน่ายดีในภาวะที่ผู้บริโภคมีกำลังซื้อลดลงด้วย โดยนอกจากเราจะมุ่งขยายสาขาแล้วยังให้ความสำคัญต่อการทำตลาดโปรโมชันด้วยเพื่อเป็นการเพิ่มยอดขายให้ผู้ประกอบการ หรือที่บริษัทฯ เรียกว่า “เถ้าแก่เล็ก”
ทั้งนี้ บริษัทฯ จะเป็นผู้ลงทุนต่อสาขาประมาณ 1.5-2 แสนบาท แล้วแต่ประเภทธุรกิจ โดยให้ผู้ที่สนใจและผ่านการคัดเลือกเข้ามาลงทุนธุรกิจต่อ โดยลงทุน 15,000 บาท แต่จะได้คืน 3,000 บาทเมื่อเลิกทำธุรกิจ ส่วนที่เหลือเป็นค่าเช่าอุปกรณ์ ค่าประกัน ค่าเช่าสถานที่ ค่าเงินทุนหมุนเวียน การซื้อสินค้าจากบริษัท เช่น ไก่ วัตถุดิบอื่น และจะหักค่าการตลาด 1.5% ต่อการสั่งซื้อสินค้าทุกครั้ง ส่วนยอดขายจะเป็นของผู้ลงทุนเอง ยอดขายโดยเฉลี่ย 15,000-30,000 บาทต่อเดือนต่อสาขา
“ช่วงนี้ค่าครองชีพสูง เศรษฐกิจไม่ดี กำลังซื้อลดลง เราก็มีการปรับราคาสินค้าบ้างเช่นกันแต่ไม่มาก แต่เราก็เน้นทำโปรโมชันด้วย ล่าสุดเกือบเดือนแล้วที่เราออกเมนูใหม่ไก่จ๊อชีส ตั้งราคาไว้ 27 บาท แต่เราขายแค่ 22 บาทก่อนนาน 3 เดือนซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี”
สำหรับตลาดต่างประเทศยังคงมุ่งเน้นในตลาดหลักเดิม 6 ประเทศคือ เวียดนาม อินเดีย พม่า บังกลาเทศ กัมพูชา และลาว ซึ่งการจะขยายตลาดไปประเทศใดนั้นบริษัทฯ จะต้องดูถึงความพร้อมในเรื่องวัตถุดิบและขนาดตลาดด้วยว่าซีพีเอฟมีฐานการผลิตที่ใดบ้าง เช่น ในอินเดียเราก็มีฐานผลิตไก่ หรือประเทศใหม่อย่างฟิลิปปินส์ก็น่าสนใจลงทุนเพราะพฤติกรรมการบริโภคไก่คล้ายกับคนไทย อีกทั้งซีพีเองก็เพิ่งสร้างฐานการผลิตที่ฟิลิปปินส์แล้วด้วย ปัจจุบันห้าดาวใช้ไก่ปึละมากกว่า 21 ล้านตัว