“ทีซีแอล” ยักษ์เครื่องใช้ไฟฟ้าจากจีนขยับตัวครั้งใหญ่รอบ 10 ปี อัดงบการตลาดกว่า 100 ล้านบาทลุยศึกเครื่องใช้ไฟฟ้าในไทย ปักธงลุยตลาดกลางขึ้นบน จากเดิมเน้นแมส ส่งทัพแอลอีดีทีวีตีราคาเบาๆ พร้อมหวนคืนตลาดเครื่องซักผ้า ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศหลังม้วนเสื่อกลับบ้านไปหลายปี มั่นใจส่งรายได้รวมปีนี้ทะลุ 3,000 ล้านบาท โตขึ้นเท่าตัว
นายบ๊อบบี้ จาง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีซีแอล อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ทีซีแอลทำตลาดในไทยมากว่า 10 ปี และกำลังก้าวสู่ทศวรรษที่ 2 โดยแผนการตลาดปีนี้พร้อมใช้งบการตลาดประมาณ 100 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 3% ของเป้าหมายรายได้ที่วางไว้ตามปกติ 3,000 ล้านบาทภายในปีนี้ สำหรับทำการตลาดตลอดปี
ในปีนี้บริษัทจะมีการเปิดตัวไลน์สินค้าใหม่กลับเข้ามาทำตลาดอย่างจริงจังอีกครั้ง 4-5รายการ จากเดิมที่เคยทำตลาดในไทยมาบ้างแล้วแต่ได้ยกเลิกไป เช่น ตู้เย็น เครื่องซักผ้า โทรศัพท์อัลคาเทลที่เทกโอเวอร์มา หลอดไฟแอลอีดี และเครื่องปรับอากาศ นำเสนอในตลาดกลางถึงบนขึ้นไป เริ่มทยอยนำเข้ามาจำหน่ายตั้งแต่กลางปีนี้เป็นต้นไป มั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับที่ดี
ทั้งนี้ ได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่าเครื่องปรับอากาศจะมียอดขายกว่า 20,000 เครื่อง มีส่วนแบ่งการตลาด 2% จากความต้องการของตลาดอยู่ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท, โทรศัพท์จะมียอดขาย 500,000 เครื่อง ราคาตั้งแต่ต่ำกว่า 2,000-16,000 บาท หรือมีส่วนแบ่งทางการตลาด 2.5% จากความต้องการของตลาดที่ 20 ล้านเครื่อง
อย่างไรก็ตาม ปีนี้จะให้ความสำคัญต่อการทำตลาดโทรทัศน์ในกลุ่มพรีเมียมมากขึ้น ด้วยการนำเสนอแอลอีดีทีวี 14 รุ่น ขนาดตั้งแต่ขนาด 19 นิ้วขึ้นไป และเน้นทำตลาดขนาด 40 นิ้วขึ้นไป ราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 3,900 บาท พร้อมเปิดตัวแอนดรอยด์สมาร์ททีวี รุ่น L85H9500 ขนาด 85 นิ้ว UHD TV หวังเพิ่มฐานลูกค้าในกลุ่มกลางถึงบน จากเดิมจะเป็นกลุ่มแมสในต่างจังหวัดเป็นหลัก มั่นใจว่าจะมียอดขายรวมกว่า 3 แสนเครื่องในปีนี้
นายบ๊อบบี้ กล่าวต่อว่า แผนการรุกตลาดในประเทศไทยนั้น บริษัทมีการศึกษาการเพิ่มฐานการผลิตในไทย หากยอดขายเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ หรือกลุ่มสินค้าใหม่ที่ส่วนใหญ่นำเข้าจะได้รับความสนใจในตลาด ทั้งนี้ ตามแผนการดำเนินงานในไทยสู่ทศวรรษที่ 2 บริษัทตั้งเป้าหมายไว้ว่าภายใน 10 ปีหลังจากนี้ทีซีแอลจะต้องก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดรวมเครื่องใช้ไฟฟ้าให้ได้ หรือต้องมีรายได้ในขณะนั้นไม่ต่ำกว่า 12,000 ล้านบาท ส่วนในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้รวมที่ 3,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นเท่าตัว มาจากทีวี 2,000 ล้านบาท และอื่นๆ รวมกันอีก 1,000 ล้านบาท ขณะที่ปีก่อนมีรายได้รวมที่ 1,500 ล้านบาท มาจากทีวีเพียงอย่างเดียว