ASTVผู้จัดการรายวัน - “พีพีทีวี” จัดเต็ม ทุ่ม 2,000 ล้านบาทลุยดิจิตอลทีวีเต็ม 24 ชั่วโมง ดีเดย์ 7 เม.ย.นี้ โชว์โรดแมปที่แตกต่างด้วยเครือข่ายธุรกิจในกลุ่มปราสาททองโอสถ มั่นใจดูดเม็ดเงินโฆษณาได้ง่ายขึ้น หวัง 3 ปี กวาดรายได้ไปไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท
“พีพีทีวี” ถือเป็นกลุ่มธุรกิจบรอสคาสติ้งล่าสุดจากกลุ่มปราสาททองโอสถ ของนายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ จากก่อนหน้านี้มีธุรกิจหลักอยู่ 2 กลุ่มคือ 1. กลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ ที่จัดอยู่ในกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนอันดับ 1 ของเอเชีย และอันดับสามของโลก 2. สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ที่จัดอยู่ในสายการบินเอกชนอันดับ 3 ของโลก ซึ่งนายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ มีความใฝ่ฝันต้องการเข้ามาดำเนินธุรกิจด้านบรอดคาสติ้งมาโดยตลอด กระทั่งปัจจุบันนี้มีช่องพีพีทีวีแล้ว
นายเขมทัตต์ พลเดช กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง จำกัด (BMB) ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ช่อง PPTV HD ช่อง 36 เปิดเผยว่า ปีที่ผ่านมาบริษัทได้เริ่มทดลองออกอากาศทางทีวีดาวเทียมมาบ้างแล้ว ด้วยช่องอิน แชนเนล และหลังจากประมูลดิจิตอลทีวีประเภท HD วาไรตี ช่อง 36 มาได้ ช่องอินแชนเนลจึงได้รวมเข้ากับ PPTV โดยจะพร้อมออกอากาศในวันที่ 7 เม.ย.นี้แบบ 24 ชั่วโมง และรีรันเพียงวันละ 2 ชั่วโมง วางตำแหน่งเป็นสถานีโทรทัศน์พรีเมียมแมส จับกลุ่มอายุ 19-50 ปี ด้วยคอนเซ็ปต์ช่อง Fun Knowledge & Activity
อย่างไรก็ตาม PPTV ถือเป็นผู้เล่นรายใหม่ที่เข้าสู่อุตสาหกรรมบรอดคาสติ้งไทย จึงต้องสร้างจุดขายที่แตกต่างและต้องแข่งขันกับรายอื่นๆ ที่อยู่ในอุตสาหกรรมฯ ไม่ต่ำกว่า 100 ช่อง ประกอบด้วย ดิจิตอลทีวี 24 ช่อง ฟรีทีวี 6 ช่อง และทีวีดาวเทียมอีก 100 กว่าช่องให้ได้ โดย PPTV มีจุดแข็งในเรื่องของเครือข่ายจากธุรกิจในเครือทั้งกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพที่จะมีการติดตั้งจอโทรทัศน์เพิ่ม และสายการบินบางกอกแอร์เวย์สที่จะมีจอโทรทัศน์ทั้งบนภาคพื้นและภายในเครื่องบินด้วยเช่นกัน จะเป็นดิสทริบิวชันที่ดีช่วยเพิ่มจำนวนอายส์บอล หรือจำนวนผู้ชม และเรื่องการทำมาร์เกตติ้งแคมเปญที่จะมีทั้งการทำแคมเปญแบบออนแอร์ และออนกราวนด์ได้เป็นอย่างดี จากการซื้อสื่อโฆษณาที่เปลี่ยนไป ขายแบบแพกเกจมากขึ้นแทนการขายสปอตโฆษณาแต่เพียงอย่างเดียว
ทั้งนี้ PPTV ได้วางนโยบายและทิศทางการดำเนินงาน 3 ปีแรก โดยจะเน้น 6 เรื่องหลักคือ 1. การสร้างโพซิชันนิ่งและคาแรกเตอร์ของสถานี 2. การบริหารคอนเทนต์ และผังรายการ 3. การวางโครงสร้างองค์กรและบุคลากร เน้นทักษะมัลติสกิล 4. นำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุนการออกอากาศ 5. เฟ้นหาคอนเทนต์ พาร์ตเนอร์ ทั้งไทยและต่างประเทศ และ 6. วางแผนกลยุทธ์ด้านการตลาด
โดยในปีแรกนี้พร้อมใช้งบลงทุนราว 2,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 1. บริหารคอนเทนต์ 1,000 ล้านบาท และ 2. สตูดิโอ/เครื่องมือที่เป็นต้นทุนคงที่อีก 1,000 ล้านบาท เชื่อว่าจากเดิมปีแรกน่าจะมีรายได้เข้ามา 1,000 ล้านบาท แต่จากความล่าช้าในหลายๆ เรื่องจึงน่าจะอยู่ที่ 500 ล้านบาท โดยยังคงตั้งเป้าใน 3 ปีจะขึ้นเป็น 1 ใน 2 ของอุตสาหกรรมทีวีรวมในทุกแพลตฟอร์มได้ ด้วยเรตติ้งผู้ชมที่ 20% ของจำนวนประชากรทั้งหมด และมีรายได้ในปีที่ 3 ไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท พร้อมคืนทุนใน 5 ปี
ส่วนรูปแบบผังรายการระยะแรกจะเน้นผลิตเอง 50% และจ้างผลิต/ซื้อคอนเทนต์ 50% โดยขณะนี้มีผู้ผลิตรายการเข้าร่วมกว่า 20 รายการ ส่วนใหญ่เป็นรับจ้างผลิต เช่น ทีวีบูรพา 7 รายการ, เน็ก แอนด์ เดอะซิตี้ 2 รายการ เป็นต้น โดยทางสถานีฯ จะเป็นผู้หารายได้เองทั้งหมดภายใต้เรตราคาโฆษณาที่ตั้งไว้เบื้องต้น ช่วงไพรม์ไทม์หลังเวลา 20.00 น. ราคา 2.5 แสนบาท/นาที ต่ำกว่าฟรีทีวี 50% และนอนไพรม์ไทม์อยู่ที่ 1.2 แสนบาท/นาที ต่ำกว่าฟรีทีวี 50% เช่นกัน
นายเขมทัตต์กล่าวต่อว่า ภาพรวมธุรกิจวิทยุโทรทัศน์มูลค่า 100,000 ล้านบาทนั้น ภายใน 5 ปีเมื่อรวมกับธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เช่น โฮมชอปปิ้ง, สตูดิโอ, ผลิตรายการ, เซต ท็อปบ็อกซ์ น่าจะมีมูลค่าเพิ่มเป็น 200,000 ล้านบาท แต่เฉพาะธุรกิจวิทยุโทรทัศน์เชื่อว่าจะขยับเพิ่มเป็น 1.2-1.5 แสนล้านบาทได้ และใน 5 ปียังมองว่าดิจิตอลทีวีจะเหลือเพียง 7 กลุ่มใหญ่เท่านั้นจากทั้งหมด 24 ช่องใน 4 ประเภทรายการ
คลิปวิดีโอจากยูทิวบ์ PPtvThailandChannel