“ซีพี-เมจิ” เปิดเกมรุกนมเปรี้ยวรับตลาดเติบโต คาดปีนี้แข่งดุทุกช่องทาง อัดงบตลาด 70 ล้านบาทรุกหนัก “ไพเกน” เปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ครั้งแรก หวังปีนี้แชร์ 10% เล็งขึ้นที่สามในปีหน้า
นายสุจริต มัยลาภ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี-เมจิ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมแบรนด์ ซีพี-เมจิ เปิดเผยว่า ช่วง 2 ปีนี้ตลาดรวมนมเปรี้ยวเริ่มแข่งขันกันรุนแรงมากขึ้น ด้วยมูลค่าตลาดรวมกว่า 8,000 ล้านบาท เติบโต 8% ซึ่งถือเป็นตลาดใหญ่กว่านมพร้อมดื่มและโยเกิร์ตด้วย ซึ่งสังเกตได้ว่าทุกแบรนด์เริ่มทำตลาดอย่างเข้มข้น ทั้งการออกรสชาติใหม่ การเพิ่มช่องทางจำหน่าย การใช้พรีเซ็นเตอร์มาทำตลาด ซึ่งคาดว่าจากนี้ไปตลาดรวมนมเปรี้ยวจะเติบโตมากกว่า 10% ต่อปี
ปัจจุบันมีผู้เล่นรายใหญ่ไม่กี่รายในตลาดคือ ยาคูลท์และบีทาเก้น ซึ่งเป็นผู้นำตลาดมีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 60% แล้ว อันดับสองคือ ดีไลท์ ส่วนแบ่ง 15% และแอคทีเวีย ส่วนแบ่ง 10% โดยแบรนด์ไพเกนของบริษัทฯ อยู่ในอับดับที่ 4 ด้วยส่วนแบ่ง 5% แต่บริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะผลักดันไพเกนก้าวขึ้นเป็นอันดับที่ 3 ให้ได้ภายในปีหน้า หรือปี 2558 ด้วยส่วนแบ่ง 15% ส่วนปีนี้ตั้งเป้าหมายส่วนแบ่งตลาดไว้ที่ 10%
โดยปีที่แล้วไพเกนมียอดขายรวม 400 ล้านบาท ปีนี้คาดว่าจะมียอดขาย 800-1,000 ล้านบาท และในปีหน้าจะก้าวขึ้นเป็นอันดับ 3 ที่จะมีรายได้รวม 1,300-1,400 ล้านบาท เนื่องจากตลาดนมโดยรวมและตลาดนมเปรี้ยวในไทยยังมีโอกาสและศักยภาพในการเติบโตและทำตลาดได้อีกมาก เพราะอัตราการบริโภคนมของคนไทยโดยรวมอยู่ที่ 15 กิโลกรัมต่อคนต่อปี น้อยกว่าญี่ปุ่นที่มีอัตรา 90 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ส่วนสิงคโปร์ก็มากกว่าไทยเกือบ 3 เท่าตัว หรือแม้แต่ประเทศในกลุ่มเออีซีด้วยกันไทยก็ยังแพ้มาเลเซีย และอินโดนีเซียด้วย
สำหรับกลยุทธ์การตลาดจะทำทุกช่องทาง ทั้งการพัฒนาตัวสินค้าเพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด ล่าสุดได้พัฒนาไพเกน โปร 5 ออกสู่ตลาด จับกลุ่มเป้าหมายอายุ 18-29 ปี ขนาด 85 ซีซี ราคา 7 บาท และขนาด 150 ซีซี ราคา 10 บาท มี 5 รสชาติ การใช้พรีเซ็นเตอร์คนแรกของไพเกนคือ “ณเดชน์ คูกิมิยะ” ซึ่งไพเกนไม่เคยใช้พรีเซ็นเตอร์เป็นดาราดังมาก่อน รวมทั้งการปรับแพกเกจจิ้งใหม่ การออกหนังโฆษณาชุดใหม่ ซึ่งการรุกตลาดครั้งนี้ใช้งบประมาณ 70 ล้านบาท
นอกจากนั้นยังเพิ่มปริมาณสาวไพเกนอีกที่มีประมาณ 900 กว่าคนในเวลานี้ การขยายช่องทางจำหน่ายต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันตลาดช่องทางที่ใหญ่ที่สุดคือ เอเยนต์หรือสาวไพเกนสัดส่วนประมาณ 50% ที่เหลือก็เป็น ซูเปอร์มาร์เกต ร้านสะดวกซื้อ เป็นต้น
นายสุจริต กล่าวด้วยว่า สำหรับตลาดประเทศบริษัทฯ ก็มีความสนใจ ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาถึงความพร้อมและความเหมาะสมในแง่ต่างๆ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเออีซี ซึ่งแต่ละประเทศอาจจะมีความต้องการในตัวสินค้าที่ต่างกัน และการวางจำหน่ายก็ย่อมแตกต่างกันด้วย ทั้งนี้ 3 ประเทศแรกที่ให้ความสำคัญก่อน คือ มาเลเซีย เนื่องจากว่าที่ผ่านมาบริษัทฯ ส่งออกสินค้าไปจำหน่ายที่สิงคโปร์และได้รับความสำเร็จซึ่งตลาดสิงคโปร์และมาเลเซียไม่แตกต่างกันเท่าใด อินโดนีเซียเป็นตลาดที่ใหญ่กำลังซื้อมากและประชากรจำนวนมากด้วย และที่พม่าก็คุ้นเคยสินค้าที่นำเข้าตามชายแดนอยู่แล้ว
นายสุจริต กล่าวต่อว่า ปีนี้บริษัทฯ ตั้งงบการตลาดรวมไว้ที่ 300 ล้านบาท ตั้งเป้าหมายยอดขายรวมปีนี้เติบโต 20% จากปีที่แล้วที่มีรายได้รวม 6,000 ล้านบาท สัดส่วนในประเทศ 88% ต่างประเทศ 12% ส่วน 2 เดือนแรกปีนี้เติบโต 12% ต่ำกว่าเป้าที่ตั้งที่ 15% เพราะปัจจัยลบทางการเมือง ภาวะเศรษฐกิจ