นายกสมาคมค้าส่ง-ปลีกไทยยันเลือกตั้งผ่านไปแต่ปัญหายังอยู่กับที่ ซ้ำร้ายเลือกตั้งอาจจะโมฆะยิ่งกระแทกเศรษฐกิจซ้ำอีก “ศศินทร์” เผยวิกฤตการเมืองกระทบความเชื่อมั่นผู้บริโภค ชี้เศรษฐกิจปี 2557 ขึ้นอยู่กับการเมืองไทย
นายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย เปิดเผยว่า แม้ว่าจะผ่านการเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ไปแล้วก็ตาม แต่ก็ถือว่าไม่ได้เป็นการเลือกตั้งที่สมบูรณ์หรือถูกต้องแต่อย่างใด และอาจจะยังเป็นการเลือกตั้งที่มีปัญหาและไม่รู้ด้วยว่าจะโมฆะหรือไม่ ดังนั้นปัญหาทุกอย่างที่มีอยู่ก็ยังคงคาราคาซังเหมือนเดิมไม่ได้รับการแก้ไข
ธุรกิจก็ยังคงต้องพึ่งตัวเองและต้องระมัดระวังในการดำเนินงาน เพราะจากนี้ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร เพราะภาพรวมของเศรษฐกิจและการเมืองก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขที่ถูกต้อง ทุกวันนี้มันเหมือนกับว่าประเทศไทยเราเป็นโรคหนึ่ง แต่เราใช้ยาคนละขนานคนละโรคไปรักษามันก็ไม่ได้ผลอยู่ดี ดังนั้นการเลือกตั้งที่ผ่านมาจึงเป็นการเสียงบประมาณโดยใช่เหตุ
จริงๆ แล้วปัญหาของไทยเราตอนนี้คือมันต้องล้างบางกันใหม่หมด มาเริ่มกันใหม่ การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ได้แก้ไขอะไรเลย ปัญหาของประเทศก็ยังอยู่ ธุรกิจก็ยังคงกระทบ เพราะมันเป็นปัญหาเกี่ยวเนื่อง เช่น เอกชนที่รับออเดอร์ผลิตสินค้าจากต่างประเทศ จากนี้จะลำบาก เพราะออเดอร์ใหม่คงจะหดหาย ต่างประเทศเขาไม่กล้าติดต่อแล้ว หรือแม้แต่ธุรกิจท่องเที่ยวก็ยิ่งแย่ลง เพราะว่าหลังจากที่มีปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองมาช่วงเริ่มต้นยังพอไปได้ ถ้าลากยาวกว่านี้คงลำบาก
“ผมว่าไตรมาสแรกปีนี้ไม่ต้องไปหวังว่าตัวเลขเศรษฐกิจจะเติบโตเท่าใด เอาเพียงแค่รักษาระดับเดิมไม่ให้ตกลงมากกว่าเดิมก็เก่งแล้ว ยิ่งรัฐบาลไม่สามารถที่จะเบิกจ่ายเงินงบประมาณมาใช้ได้ การกระตุ้นเศรษฐกิจก็ไม่เกิดแน่นอน”
นายชโลธร เส็งสมวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไบโอคอส กรุ๊ป จำกัด ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับสถาบันความงามแบรนด์สิเรียมบิวตี้ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะหลังการเลือกตั้งที่ไม่สมบูรณ์เมื่อวันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมานั้น เชื่อว่ายังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่ออารมณ์ในการใช้จ่ายของผู้บริโภคต่อเนื่อง ความรู้สึกของลูกค้าแย่ลง โดยเฉพาะในใจกลางเมือง ขณะที่ชานเมืองยังทรงตัวดีอยู่
ทั้งนี้ มองว่าจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจในช่วง 3 เดือนแรกนี้แน่นอน โดยในส่วนของกลุ่มสิเรียมช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมายอดขายรวมหายไปกว่า 10-15% โดยเฉพาะสาขาในเซ็นทรัลเวิลด์ ส่วนสาขาชานเมืองอาจจะชะลอตัวเล็กน้อย แต่ธุรกิจเกี่ยวกับความสวยความงามยังคงเป็นธุรกิจที่ยังไปได้อยู่ และน่าจะโตกว่าจีดีพีราว 1-2% เท่านั้น เพราะผู้หญิงไทยยังให้ความสำคัญต่อเรื่องของสุขภาพและความงาม
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาสสองนี้ประเมินสถานการณ์ได้ยาก เพราะดูแล้วยังไม่มีแนวโน้มว่าม็อบจะจบลงแต่อย่างใด ดังนั้น หากต้องประเมินช่วงครึ่งปีแรกเชื่อว่าจะทรงตัว แต่เนื่องจากมีรายได้จากสาขาใหม่เข้ามาบ้าง บริษัทจึงน่าจะเติบโตได้อยู่ราว 5%
ดร.กฤษติกา คงสมพงษ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Sasin) เปิดเผยถึงทิศทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2557 ว่า ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการชี้วัดแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต ในขณะที่ปัญหาทางการเมืองภายในประเทศมีแนวโน้มว่าจะยืดเยื้อ ส่งผลให้ภาคธุรกิจต่างๆ ชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด สำหรับด้านการลงทุน คาดว่าภายในปี 2557 เม็ดเงินลงทุนจากภาครัฐลดลง ดังนั้นความหวังที่จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นอยู่กับการลงทุนของภาคเอกชน เพียงแต่รอความชัดเจนจากปัญหาทางการเมือง
ปัญหาการเมืองที่มีผลต่อจิตวิทยาการบริโภคสินค้าและบริการ ที่ผ่านมาธุรกิจต่างๆ ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำให้ชะลอการตัดสินใจซื้ออย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ธุรกิจค้าปลีกและห้างสรรพสินค้าหลายแห่งยอดขายลดลงอีกด้วย ที่สำคัญปัญหาดังกล่าวอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของประเทศเพื่อนบ้านในการเป็นศูนย์กลางด้านต่างๆ ของประเทศไทยหลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)
“สิ่งที่นักการตลาดและผู้ประกอบการควรจะทำคือ การจับตาดูการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ประเมินสถานการณ์ว่าจะส่งผลกระทบทางด้านใดมากน้อยแค่ไหน เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์รับมือกับปัญหาและการตั้งรับวิกฤตต่างๆ ที่กระทบต่อยอดขาย นำกลยุทธ์การจัดโปรโมชันพิเศษเพื่อช่วยเหลือประชาชนและลูกค้าที่ได้รับผลกระทบต่อปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น” ดร.กฤษติกา กล่าว
นายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย เปิดเผยว่า แม้ว่าจะผ่านการเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ไปแล้วก็ตาม แต่ก็ถือว่าไม่ได้เป็นการเลือกตั้งที่สมบูรณ์หรือถูกต้องแต่อย่างใด และอาจจะยังเป็นการเลือกตั้งที่มีปัญหาและไม่รู้ด้วยว่าจะโมฆะหรือไม่ ดังนั้นปัญหาทุกอย่างที่มีอยู่ก็ยังคงคาราคาซังเหมือนเดิมไม่ได้รับการแก้ไข
ธุรกิจก็ยังคงต้องพึ่งตัวเองและต้องระมัดระวังในการดำเนินงาน เพราะจากนี้ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร เพราะภาพรวมของเศรษฐกิจและการเมืองก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขที่ถูกต้อง ทุกวันนี้มันเหมือนกับว่าประเทศไทยเราเป็นโรคหนึ่ง แต่เราใช้ยาคนละขนานคนละโรคไปรักษามันก็ไม่ได้ผลอยู่ดี ดังนั้นการเลือกตั้งที่ผ่านมาจึงเป็นการเสียงบประมาณโดยใช่เหตุ
จริงๆ แล้วปัญหาของไทยเราตอนนี้คือมันต้องล้างบางกันใหม่หมด มาเริ่มกันใหม่ การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ได้แก้ไขอะไรเลย ปัญหาของประเทศก็ยังอยู่ ธุรกิจก็ยังคงกระทบ เพราะมันเป็นปัญหาเกี่ยวเนื่อง เช่น เอกชนที่รับออเดอร์ผลิตสินค้าจากต่างประเทศ จากนี้จะลำบาก เพราะออเดอร์ใหม่คงจะหดหาย ต่างประเทศเขาไม่กล้าติดต่อแล้ว หรือแม้แต่ธุรกิจท่องเที่ยวก็ยิ่งแย่ลง เพราะว่าหลังจากที่มีปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองมาช่วงเริ่มต้นยังพอไปได้ ถ้าลากยาวกว่านี้คงลำบาก
“ผมว่าไตรมาสแรกปีนี้ไม่ต้องไปหวังว่าตัวเลขเศรษฐกิจจะเติบโตเท่าใด เอาเพียงแค่รักษาระดับเดิมไม่ให้ตกลงมากกว่าเดิมก็เก่งแล้ว ยิ่งรัฐบาลไม่สามารถที่จะเบิกจ่ายเงินงบประมาณมาใช้ได้ การกระตุ้นเศรษฐกิจก็ไม่เกิดแน่นอน”
นายชโลธร เส็งสมวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไบโอคอส กรุ๊ป จำกัด ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับสถาบันความงามแบรนด์สิเรียมบิวตี้ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะหลังการเลือกตั้งที่ไม่สมบูรณ์เมื่อวันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมานั้น เชื่อว่ายังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่ออารมณ์ในการใช้จ่ายของผู้บริโภคต่อเนื่อง ความรู้สึกของลูกค้าแย่ลง โดยเฉพาะในใจกลางเมือง ขณะที่ชานเมืองยังทรงตัวดีอยู่
ทั้งนี้ มองว่าจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจในช่วง 3 เดือนแรกนี้แน่นอน โดยในส่วนของกลุ่มสิเรียมช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมายอดขายรวมหายไปกว่า 10-15% โดยเฉพาะสาขาในเซ็นทรัลเวิลด์ ส่วนสาขาชานเมืองอาจจะชะลอตัวเล็กน้อย แต่ธุรกิจเกี่ยวกับความสวยความงามยังคงเป็นธุรกิจที่ยังไปได้อยู่ และน่าจะโตกว่าจีดีพีราว 1-2% เท่านั้น เพราะผู้หญิงไทยยังให้ความสำคัญต่อเรื่องของสุขภาพและความงาม
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาสสองนี้ประเมินสถานการณ์ได้ยาก เพราะดูแล้วยังไม่มีแนวโน้มว่าม็อบจะจบลงแต่อย่างใด ดังนั้น หากต้องประเมินช่วงครึ่งปีแรกเชื่อว่าจะทรงตัว แต่เนื่องจากมีรายได้จากสาขาใหม่เข้ามาบ้าง บริษัทจึงน่าจะเติบโตได้อยู่ราว 5%
ดร.กฤษติกา คงสมพงษ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Sasin) เปิดเผยถึงทิศทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2557 ว่า ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการชี้วัดแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต ในขณะที่ปัญหาทางการเมืองภายในประเทศมีแนวโน้มว่าจะยืดเยื้อ ส่งผลให้ภาคธุรกิจต่างๆ ชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด สำหรับด้านการลงทุน คาดว่าภายในปี 2557 เม็ดเงินลงทุนจากภาครัฐลดลง ดังนั้นความหวังที่จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นอยู่กับการลงทุนของภาคเอกชน เพียงแต่รอความชัดเจนจากปัญหาทางการเมือง
ปัญหาการเมืองที่มีผลต่อจิตวิทยาการบริโภคสินค้าและบริการ ที่ผ่านมาธุรกิจต่างๆ ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำให้ชะลอการตัดสินใจซื้ออย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ธุรกิจค้าปลีกและห้างสรรพสินค้าหลายแห่งยอดขายลดลงอีกด้วย ที่สำคัญปัญหาดังกล่าวอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของประเทศเพื่อนบ้านในการเป็นศูนย์กลางด้านต่างๆ ของประเทศไทยหลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)
“สิ่งที่นักการตลาดและผู้ประกอบการควรจะทำคือ การจับตาดูการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ประเมินสถานการณ์ว่าจะส่งผลกระทบทางด้านใดมากน้อยแค่ไหน เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์รับมือกับปัญหาและการตั้งรับวิกฤตต่างๆ ที่กระทบต่อยอดขาย นำกลยุทธ์การจัดโปรโมชันพิเศษเพื่อช่วยเหลือประชาชนและลูกค้าที่ได้รับผลกระทบต่อปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น” ดร.กฤษติกา กล่าว
