การท่าเรือฯ เผยปริมาณตู้สินค้าผ่าน 5 ท่าเรือในไตรมาส 1/57 โต 4.01% เทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เผย ศก.โลกชะลอตัว และการเมืองในประเทศยังกระทบหนัก แต่ได้อานิสงส์ค่าเงินบาทอ่อนต่อเนื่องช่วยดันส่งออกไทยขยายตัว
เรือเอก อิทธิชัย สุพรรณกูล รองผู้อำนวยการสายบริหารทรัพยากรบุคคลและการเงิน รักษาการแทนผู้อำนวยการ การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในการให้บริการเรือ สินค้าและตู้สินค้า ผ่านท่าเรือกรุงเทพ ท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน ท่าเรือเชียงของ และท่าเรือระนอง ในช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2557 (ตุลาคม-ธันวาคม 2556) โดยเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน พบว่ามีตู้สินค้าผ่านท่า (ตู้บรรจุสินค้าและตู้เปล่า) จำนวน 1.972 ล้านทีอียู เปรียบเทียบในช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 1.896 ล้านทีอียู เพิ่มขึ้น 4.01%
โดยท่าเรือกรุงเทพมีเรือเทียบท่า 811 เที่ยว ลดลง 4.25% สินค้าผ่านท่า 5.519 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 5.51% และตู้สินค้าผ่านท่า (รวมตู้เปล่า) 0.388 ล้านทีอียู เพิ่มขึ้น 2.37%, ท่าเรือแหลมฉบัง มีเรือเทียบท่า 1,602 เที่ยว ลดลง 36.88% สินค้าผ่านท่า 17.634 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 5.30% และตู้สินค้าผ่านท่า 1.584 ล้านทีอียู เพิ่มขึ้น 4.42%
ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนมีเรือเทียบท่า 2,334 เที่ยว เพิ่มขึ้น 4.34% สินค้าผ่านท่า 108,996 ตัน เพิ่มขึ้น 29.62%, ท่าเรือเชียงของ มีเรือเทียบท่า 65 เที่ยว เพิ่มขึ้น 58.54% สินค้าผ่านท่า 9,052 ตัน ลดลง 42.14% และท่าเรือระนอง มีเรือเทียบท่า 105 เที่ยว เพิ่มขึ้น 128.26% สินค้าผ่านท่า 71,950 ตัน เพิ่มขึ้น 244.46%
เรือเอก อิทธิชัยกล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวสะท้อนผ่านการส่งออกของประเทศ โดยธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประมาณการการส่งออกจะขยายตัวได้ 7.0% ในปีนี้ (คาดการณ์เมื่อเดือนตุลาคม 2556) แต่สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าทำให้ไม่เป็นไปตามที่คาด
อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานของ กทท. ไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2557 ยังขยายตัวได้เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ 2556 และเมื่อพิจารณาจากผลการดำเนินงานในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา ทำให้คาดการณ์ได้ว่าเมื่อสิ้นปีงบประมาณ 2557 ทั้งที่ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบังจะมีตู้สินค้าผ่านท่าประมาณ 1.5 ล้านทีอียู และ 6.3 ล้านทีอียู ตามลำดับ ซึ่งขยายตัวสอดคล้องกับการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการส่งออกที่คาดว่าจะได้รับผลจากค่าเงินบาทอ่อนค่า โดยเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าพบว่าค่าเงินบาทได้อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ เงินยูโร และเงินหยวน 7.8%, 12.1% และ 12.8% ตามลำดับ
