ASTVผู้จัดการรายวัน - “ทรูวิชั่นส์” เมินพรีเมียร์ลีก อัดงบเพิ่ม 15% กวาดคอนเทนต์เอ็กซ์คลูซีฟหลากหลายจากทั่วโลกเติมเต็มความต้องการสมาชิก โฟกัสเพิ่มฐานสมาชิกระดับล่างถึงกลางดันรายได้รวม หลังปีก่อนวืดเป้ายอดสมาชิก ปีนี้มั่นใจฐานสมาชิกกลับมาโตไม่ต่ำกว่า 7-9%
นายอาณัติ เมฆไพบูลย์วัฒนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทรูวิชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมเพย์ทีวีในปีนี้เชื่อว่าจะแข่งขันสูง และผู้บริโภคจะมีทางเลือกมากขึ้นจากการเกิดดิจิตอลทีวีอีกกว่า 48 ช่อง เชื่อว่าจะส่งผลต่อยอดสมาชิกใหม่ที่จะตามมา โดยปีนี้มองว่าฐานสมาชิกในระดับล่างถึงกลางมีโอกาสเติบโตมากที่สุดในระดับราคาแพกเกจไม่เกิน 400-500 บาทต่อเดือน ซึ่งทางทรูวิชั่นส์มีรองรับไว้อยู่แล้วคือ แพกเกจซูเปอร์สปอร์ต และแพกเกจซูเปอร์แฟมิลี ซึ่งทางบริษัทจะมีการปรับเปลี่ยนช่องรายการใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเติมให้มากขึ้น มั่นใจว่าจะส่งผลให้ทั้งปีนี้ยอดสมาชิกจะเติบโตขึ้นเป็นตัวเลข 1 หลัก หรือราว 8-9% ได้ และกว่า 60% มาจากกลุ่มสมาชิกระดับล่างถึงกลางที่สร้างรายได้ให้บริษัท หลังปีก่อนยอมรับว่ายอดสมาชิกทำได้ไม่ถึง 3 ล้านสมาชิกจากที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากการสูญเสียคอนเทนต์หลักอย่างพรีเมียร์ลีกไปและมีผู้เล่นใหม่เข้ามาในตลาด รวมถึงปัจจัยลบอื่นๆ เช่น การเมือง เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทจะเน้นกลยุทธ์ “คิง ออฟ คอนเทนต์” และเน้นรักษายอดสมาชิกเดิมไว้ให้ได้มากสุด พร้อมโฟกัสกลุ่มลูกค้าใหม่ระดับล่างถึงกลางมากขึ้น ภายใต้ยุทธศาสตร์ด้านคอนเทนต์ 4 ข้อ คือ 1. Most Live& Exclusive Content รวมรายการถ่ายทอดสดแต่เพียงผู้เดียวมากที่สุด ทั้งงานประกาศรางวัลบันเทิงระดับโลก รายการกีฬาภายในประเทศ และต่างประเทศ 2. The Best&Most HD Channels รวมช่องรายการคุณภาพคมชัดในระบบเอชดีมากที่สุดถึง 50 ช่อง พร้อมเปิดตัว 2 ช่องรายการกีฬาใหม่ระบบเอชดี คือ ASN2 และ beIn SPORTS และปรับช่องเอสดีเป็นเอชดีอีก 2 ช่องคือ Cinemax HD และTrue Inside HD จากเดิมในปีที่ผ่านมาทรูวิชั่นส์มีช่องรายการทั้งหมด 180 ช่องและเป็นช่องเอชดี 50 ช่อง โดยปีนี้จะเน้นเพิ่มช่องใหม่ๆ เข้ามามากขึ้นภายใต้งบลงทุนซื้อคอนเทนต์ใหม่ๆ มากกว่าปีก่อน 1-15% จากที่ใช้ไป 2,000-4,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา โดยช่องที่ไม่มีคุณภาพจะยกออกและใส่ช่องใหม่เข้ามาแทน โดยเน้นช่องแบบ HD เป็นหลัก
3. Biggest World-Class Brands รวมช่องรายการแบรนด์ดังระดับโลกมากที่สุด ทั้ง HBO 7 ช่อง แบบ HD, Discovery 8 ช่อง, BBC 6 ช่อง, Turner 5 ช่อง, Disney 4 ช่อง, History 3 ช่อง และช่องอื่นๆ จาก RTL, CBS, AXN และในเครือ FOX 4. Trend-Setting Original Production รวมรายการผลิตเองคุณภาพเยี่ยม ซึ่งปีนี้จะผลิตภาพยนตร์และซีรีส์เองมากขึ้น รวมถึงรายการความรู้อย่าง สามเณรปลูกปัญญาธรรม และรายการกีฬา เช่น Martial Warrior ชิงฝัน แอ็กชั่นสตาร์ และมวยไทยไฟต์ เป็นต้น
นายอาณัติกล่าวด้วยว่า แม้ว่าบริษัท ซีทีเอช จำกัด (มหาชน) จะมีการนำคอนเทนต์พรีเมียร์ลีกไปออกในแพลตฟอร์มอื่นๆ นั้น เบื้องต้นในส่วนของทรูวิชั่นส์กล่าวได้เพียงว่า คอนเทนต์พรีเมียร์ลีกจะมาอยู่ในทรูวิชั่นส์หรือไม่ขึ้นอยู่กับความต้องการของสมาชิกเป็นหลัก แต่ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมาได้ทำการรีเสิร์ชถึงความต้องการของลูกค้าแล้วพบว่าพรีเมียร์ลีกไม่ใช่คอนเทนต์หลักที่ลูกค้าต้องการ
ด้าน นายอรรถพล ณ บางช้าง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายรายการ บริษัท ทรูวิชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวเสริมว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อจากทางซีทีเอชเข้ามา และทางทรูวิชั่นส์เองก็ไม่ได้คิดว่าคอนเทนต์พรีเมียร์ลีกจะสำคัญอีกต่อไป หลังจากที่บริษัทได้มีการปรับยุทธศาสตร์ด้านคอนเทนต์ให้มีความหลากหลายสำหรับสมาชิกในกลุ่มต่างๆ ที่ผ่านมา ขณะเดียวกันคอบอลที่ต้องการคอนเทนต์พรีเมียร์ลีกจริงๆ ก็ได้หายไปหมดแล้วในช่วงปีก่อนราว 2-3 หมื่นราย ดังนั้น เวลานี้คอนเทนต์พรีเมียร์ลีกจึงไม่ได้สำคัญอีกต่อไป แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้ปิดกั้นเพราะต้องดูความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก หรือดูที่ดีลเจรจาว่าจะส่งผลดีต่อทรูวิชั่นส์ในอนาคตก็เป็นได้