ม็อบปิดเมืองกรุงร่วมเดือนสะเทือนศูนย์การค้าซบเซา “เอสเอฟ” แผลเหวอะเจ็บทุกจุดที่ม็อบลง ยอดขายตั๋วหนังหดร่วม 70% ต่อวัน เชื่อเจ็บกันทั่วกรุงเทพฯ คนไม่มีอารมณ์ใช้จ่าย แต่พร้อมลุยต่อ ทุ่ม 1,000 ล้านบาทขยายสาขาเพิ่มอีก 6-7 สาขาตามแผนเดิมที่วางไว้ เชื่อทั้งปียังประคองรายได้โตใกล้เคียงปีก่อนที่ 20-30%
นายสุวิทย์ ทองร่มโพธิ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท เอสเอฟ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วง 2 อาทิตย์ที่ผ่านมาหลังการชุมนุมของ กปปส.ที่ปิดถนนหลายจุดในกรุงเทพฯ ยอมรับว่าส่งผลกระทบต่อธุรกิจโรงภาพยนตร์ในเครือเอสเอฟอย่างมาก เพราะส่วนใหญ่ที่ปิดถนนนั้นเป็นจุดที่เอสเอฟให้บริการ เช่น เซ็นทรัล ลาดพร้าว, เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ, มาบุญครอง, เทอร์มินอล 21, ดิ เอ็มโพเรียม เป็นต้น
ส่วนสำคัญมาจากเวลาในการปิดให้บริการของศูนย์การค้าเหล่านี้เร็วขึ้นเป็นช่วง 6 โมงเย็น ซึ่งเป็นเวลาไพรม์ไทม์ในการเข้าชมภาพยนตร์มากที่สุด ส่งผลให้ยอดขายตั๋วในแต่ละวันหายไปกว่า 70%
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นธุรกิจโรงหนังไม่ได้รับผลกระทบแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่เชื่อว่ากระทบในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะศูนย์การค้า ทั้งกลุ่มแฟชั่น มือถือ และอื่นๆ ต่างได้รับผลกระทบทั้งสิ้น ถึงแม้จะถูกมองว่ามีคนเข้ามาใช้จ่ายสูงแม้ว่าจะมีม็อบอยู่ใกล้ก็ตาม แต่ก็เป็นแค่ 1-2 วันแรกเท่านั้น ซึ่งในวันนี้มองว่าโดยรวมทั้งใจกลางกรุงเทพฯ และศูนย์การค้าชานเมืองต่างตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน คนเดินห้างฯ น้อยลงเพราะไม่มีอารมณ์ในการใช้จ่าย และไม่สะดวกในการเดินทาง เป็นต้น ขณะที่สถานการณ์ในต่างจังหวัดยังดีอยู่
“ภาพรวมธุรกิจโรงภาพยนตร์ในช่วงไตรมาสหนึ่งนี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะออกมาเป็นเช่นไร เพราะเพิ่งจะผ่านมาแค่เดือนเดียว ซึ่งปกติต้นปีจะเป็นช่วงโลว์ซีซันของหนังอยู่แล้ว ทั้งนี้ต้องรอดูสถานการณ์การชุมนุมเป็นสำคัญว่าจะรุนแรงขึ้นจนส่งผลให้รายชื่อหนังต่างประเทศจะเลื่อนการฉายออกไปหรือไม่ ถึงเวลานั้นเชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจโรงภาพยนตร์แน่ โดยขณะนี้อาจจะกระทบแค่หนังไทยเท่านั้นที่อาจจะมีการเลื่อนฉายออกไปก่อน”
นายสุวิทย์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ทางบริษัทยังพร้อมเดินหน้าขยายสาขาเพิ่มอีก 5-6 สาขา รวมกว่า 40-50 โรง ด้วยงบลงทุนร่วม 1,000 ล้านบาทตามแผนเดิมที่วางไว้ โดยจะเน้นไปกับศูนย์การค้าเป็นหลัก เช่น ปราจีนบุรี และใน กทม. เป็นต้น เชื่อว่าจะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้บริษัทยังคงเติบโตได้ใกล้เคียงปีก่อนที่ 20-30% จากภาพรวมจำนวนสาขาทั้งสิ้น 34 สาขา หรือกว่า 220 โรง ที่รวมกับโรงภาพยนตร์สาขาเมญ่าจำนวน 10 โรงที่ลงทุนไป 100 ล้านบาท จากการลงทุน 3,000 ล้านบาทที่บริษัทหันมาพัฒนาศูนย์การค้าเมญ่าเองเมื่อปีก่อน พร้อมกับการรวมเอาธุรกิจโรงภาพยนตร์ฝั่งตะวันออกอีกบริษัทหนึ่งเข้ามารวมกันเพื่อเตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปีนี้
นายสุวิทย์ ทองร่มโพธิ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท เอสเอฟ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วง 2 อาทิตย์ที่ผ่านมาหลังการชุมนุมของ กปปส.ที่ปิดถนนหลายจุดในกรุงเทพฯ ยอมรับว่าส่งผลกระทบต่อธุรกิจโรงภาพยนตร์ในเครือเอสเอฟอย่างมาก เพราะส่วนใหญ่ที่ปิดถนนนั้นเป็นจุดที่เอสเอฟให้บริการ เช่น เซ็นทรัล ลาดพร้าว, เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ, มาบุญครอง, เทอร์มินอล 21, ดิ เอ็มโพเรียม เป็นต้น
ส่วนสำคัญมาจากเวลาในการปิดให้บริการของศูนย์การค้าเหล่านี้เร็วขึ้นเป็นช่วง 6 โมงเย็น ซึ่งเป็นเวลาไพรม์ไทม์ในการเข้าชมภาพยนตร์มากที่สุด ส่งผลให้ยอดขายตั๋วในแต่ละวันหายไปกว่า 70%
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นธุรกิจโรงหนังไม่ได้รับผลกระทบแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่เชื่อว่ากระทบในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะศูนย์การค้า ทั้งกลุ่มแฟชั่น มือถือ และอื่นๆ ต่างได้รับผลกระทบทั้งสิ้น ถึงแม้จะถูกมองว่ามีคนเข้ามาใช้จ่ายสูงแม้ว่าจะมีม็อบอยู่ใกล้ก็ตาม แต่ก็เป็นแค่ 1-2 วันแรกเท่านั้น ซึ่งในวันนี้มองว่าโดยรวมทั้งใจกลางกรุงเทพฯ และศูนย์การค้าชานเมืองต่างตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน คนเดินห้างฯ น้อยลงเพราะไม่มีอารมณ์ในการใช้จ่าย และไม่สะดวกในการเดินทาง เป็นต้น ขณะที่สถานการณ์ในต่างจังหวัดยังดีอยู่
“ภาพรวมธุรกิจโรงภาพยนตร์ในช่วงไตรมาสหนึ่งนี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะออกมาเป็นเช่นไร เพราะเพิ่งจะผ่านมาแค่เดือนเดียว ซึ่งปกติต้นปีจะเป็นช่วงโลว์ซีซันของหนังอยู่แล้ว ทั้งนี้ต้องรอดูสถานการณ์การชุมนุมเป็นสำคัญว่าจะรุนแรงขึ้นจนส่งผลให้รายชื่อหนังต่างประเทศจะเลื่อนการฉายออกไปหรือไม่ ถึงเวลานั้นเชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจโรงภาพยนตร์แน่ โดยขณะนี้อาจจะกระทบแค่หนังไทยเท่านั้นที่อาจจะมีการเลื่อนฉายออกไปก่อน”
นายสุวิทย์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ทางบริษัทยังพร้อมเดินหน้าขยายสาขาเพิ่มอีก 5-6 สาขา รวมกว่า 40-50 โรง ด้วยงบลงทุนร่วม 1,000 ล้านบาทตามแผนเดิมที่วางไว้ โดยจะเน้นไปกับศูนย์การค้าเป็นหลัก เช่น ปราจีนบุรี และใน กทม. เป็นต้น เชื่อว่าจะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้บริษัทยังคงเติบโตได้ใกล้เคียงปีก่อนที่ 20-30% จากภาพรวมจำนวนสาขาทั้งสิ้น 34 สาขา หรือกว่า 220 โรง ที่รวมกับโรงภาพยนตร์สาขาเมญ่าจำนวน 10 โรงที่ลงทุนไป 100 ล้านบาท จากการลงทุน 3,000 ล้านบาทที่บริษัทหันมาพัฒนาศูนย์การค้าเมญ่าเองเมื่อปีก่อน พร้อมกับการรวมเอาธุรกิจโรงภาพยนตร์ฝั่งตะวันออกอีกบริษัทหนึ่งเข้ามารวมกันเพื่อเตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปีนี้