การจัดงานฉลองครบรอบ 1 ปีของการเปิดบริการ ห้างเซ็นทรัลเอ็มบาสซี ตั้งแต่วันที่ 28 พ.ค.-30 ม.ย. 58 นี้
ถือเป็นช่วงจังหวะเดียวกับการเปิดตัวรอบที่ 3 ของดิเอ็มดิสทริค ช่วงวันที่ 29 พ.ค.- 1 มิ.ย. ของค่ายเดอะมอลล์ พอดี
จะว่าบังเอิญหรือตั้งใจของทั้งสองค่ายก็แล้วแต่ใครจะคิด
เพราะสองค่ายยักษ์นี้ไม่เคยยอมกันอยู่แล้ว
เซ็นทรัลเอ็มบาสซีเชิญแขกเหรื่อมาร่วมงานค่ำคืนวันที่ 28 พ.ค. จำนวน 3,000 กว่าคน บนพื้นที่ของห้าง 70,000 ตารางเมตร เฉพาะไฮเอนด์จริงๆ และยังได้ลงรูปงานหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐด้วย กับงบประมาณจัดงาน 40 ล้านบาท
ขณะที่ทางด้านดิเอ็มดิสทริคเชิญแขกเหรื่อมากถึง 20,000 คน บนพื้นที่กว่า 200,000 ตารางเมตร ในวันเปิดงานคืนวันศุกร์ที่ 29 พ.ค. พร้อมกับแผนการถ่ายทอดงานผ่านไทยรัฐทีวี กับงบประมาณจัดงานไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท
เสมือนเป็นการเกทับบลัฟแหลกยังไงยังงั้น นี่ยังไม่นับรวมถึงการโชว์การแสดงและกิจกรรม รวมทั้งโปรโมชันต่างๆ ที่ทั้งคู่นำมาฟาดฟันกันแบบถึงพริกถึงขิงอีก ซึ่งงานการจัดฉลองนี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของการต่อสู้ในแง่ของการจัดอีเวนต์และการลงสื่อเท่านั้น
แต่จากนี้ไป การต่อสู้ในแง่ของธุรกิจยังคงเข้มข้น และหนักกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าห้างหรูของกลุ่มจิราธิวัฒน์ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ในภาพรวมแล้วยังไม่ได้สร้างความฮือฮาหรือยิ่งใหญ่ในสายตาสาธารณชนทั่วไปมากนัก
ขณะที่ภาพความยิ่งใหญ่ของการเปิดตัวในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาของดิเอ็มดิสทริค ที่ปั่นกระแสเป็นระลอก รอบแรกคือแฟชั่น เอ็กซ์ตรอดิแนร์ และรอบที่สองเกี่ยวกับอาหาร ไดนิ่ง เอ็กซ์ตรอดิแนร์ ของดิ เอ็ม ดิสทริคนั้น สร้างความอลังการงานสร้างไว้อย่าง มาก กับกิจกรรม และลูกเล่นต่างๆ กับล่าสุดคือ เดอะเวิลด์ เอ็กซ์ตรอดิแนร์ ที่จะมีกิจกรรมยิ่งใหญ่ระดับโลกมาสะกิดสายตาผู้คน
แต่ทั้งนี้ ทางฟากของเซ็นทรัลเอ็มบาสซีก็ยังมีดีไว้อวดเหมือนกัน กับกิจกรรมครบรอบ1ปึ แต่ไม่เปรี้ยงปร้างเท่า เพราะอย่างน้อยก็ต้องไว้ลายและศักดิ์ศรีในฐานะพี่ใหญ่ของวงการค้าปลีกไทย
“เราไม่ต้องการจะสร้างศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุดหรือหรูที่สุด แต่เราอยากจะสร้างพื้นที่พิเศษนี่ด้วยความรัก ความใส่ใจ และความคุ้นเคย ที่ทำให้ผมและทุกคนที่ก้าวเข้ามามีความรุ้สึกเหมือนอยู่บ้าน เราอยากนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อตอบโจทย์และไลฟ์สไตล์ อย่างมีอัตลักษณ์” นายบรม พิจารณ์จิต กรรมการผู้จัดการศูนย์การค้าเซ็นทรัลเอ็มบาสซีกล่าว
พร้อมย้ำด้วยว่า ในที่สุดแล้ว “เซ็นทรัลเอ็มบาสซีจะกลายเป็นโครงการรีเทลที่ดีที่สุดในเอเชีย”
นั่นคงต้องมาพร้อมกับการทำงานที่หนักขึ้นของเซ็นทรัลเอ็มบาสซีเลยทีเดียว
เพราะเป้าหมายของดิเอ็มดิสทริคก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันที่จะสร้างให้พื้นที่ดังกล่าวบนย่านสุขุมวิทนี้เป็นย่านการค้าระดับโลก
ทั้งสองค่ายก็หนีไม่พ้นที่จะพุ่งเป้าหมายไปคล้ายกัน คือ การมุ่งสู่ไลฟ์สไตล์ของคนเป็นหลัก ซึ่งก็หนีไม่พ้น แฟชั่น อาหาร บันเทิง บริการ
ถ้าเทียบในแง่ของความเป็นแฟชั่นแล้ว แต่ละค่ายอาจจะมีจุดดีจุดด้อยแตกต่างกันไป แต่ก็หนีไม่พ้นเรื่องของความเป็นรายแรกที่สามารถดึงอินเตอร์แบรนด์ต่างๆ เข้ามาเปิดเป็นเอ็กซ์คลูซีฟในห้างของตัวเอง หรือเป็นสาขาแรกของเอเชีย หรือเป็นแฟลกชิปโมเดลใหม่
เซ็นทรัลเอ็มบาสซีมีทั้งหมด 180 ร้านค้า ซึ่งรวมหมดทุกธรกิจ ซึ่งจำนวน 30% เป็นแบรนด์ใหม่ในประเทศไทย และเป็นร้านแฟลกชิปสโตร์หรือเอ็กซ์คลูซีฟ โดยปัจจุบันพื้นที่ถูกใช้งานแล้ว 98% แต่หากเมื่อรวมกับเซ็นทรัลชิดลมแล้วจะทำให้มีร้านค้าแฟชั่น และไลฟ์สไตล์กว่า 5,000 แบรนด์ ร้านอาหารและคาเฟ่กว่า 40 ร้าน
เซ็นทรัลเอ็มบาสซีเตรียมเติมเต็มอีก 8 โครงการใหญ่ กับอีก 25 ร้านค้าที่จะมาเปิดบริการในรูปแบบร้านค้าถาวรและร้านค้าหมุนเวียน และพื้นที่เปิดใหม่อีกบนชั้น L6 กว่า 4,500 ตารางเมตร คาดว่าจะเปิดตัวได้ในไตรมาสแรกปี 2559 รวมไปถึงโรงแรมปาร์คไฮแอท ระดับ 6 ดาว ที่จะเปิดบริการกลางปีหน้าเช่นกัน
ขณะที่ดิเอ็มดิสทริค นายเกรียงศักดิ์ ตันติพิภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดิ เอ็มโพเรี่ยม กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันร้านค้าในศูนย์การค้าเปิดบริการแล้ว 90% และจากนี้ไปจะมีร้านค้าและแบรนด์ดังๆ ชั้นนำระดับโลกทยอยเปิดบริการอีกที่ดิเอ็มดิสทริค เช่น ทิฟฟานีแอนด์โค แบรนด์เครื่องประดับจากนิวยอร์กแห่งเดียวในไทย, แวนคลิปแอนด์อาร์เพล เครื่องประดับชั้นสูงจากฝรั่งเศส, แบรนด์ดิออร์ เตรียมเปิดชอปทั้งชายและหญิงเป็นแห่งแรกในไทย, แบรนด์เบอร์เบอร์รี่, เอ็มโพริโอ อาร์มานิ, อิสเซ่มิยาเกะ, ท็อดส์, แคนาลี, ปาเต๊ะฟิลิป, โรเล็กซ์ และฮูโบลท์
ถ้ามองในแง่ไดนิ่งหรืออาหารการกิน ดิเอ็มดิสทริคเปิดตัวโซนร้านอาหารที่มีมากมายถึง 200 กว่าร้านจากทั่วทุกมุมโลก
หากมองถึงตัวเลขการเข้าใช้บริการของนักชอปด้วยแล้วจะพบว่า เมื่อดิเอ็มดิสทริคเปิดบริการเต็มรูปแบบแล้ว นางศุภลักษณ์ อัมพุช ประธาน เดอะมอลล์กรุ๊ป มั่นใจว่าจะมีมากกว่าปัจจุบันแน่นอนที่มีผู้เข้าใช้บริการในศูนย์แล้วกว่า 150,000 คนต่อวัน แบ่งเป็นคนไทย 70% และต่างชาติ 30% โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติ 3 อันดับแรกคือ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และกลุ่มประเทศเออีซี โดยมียอดขายตลอดปี 2558 ประมาณ 10,000 ล้านบาท
ส่วนเซ็นทรัลเอ็มบาสซี รับรู้กันว่าน้อยกว่าแน่นอน เพราะด้วยขนาดพื้นที่ของโครงการเป็นหลัก โดยนายบรมเผยว่า มีผู้เข้าใช้บริการประมาณ 18,000-20,000 คนต่อวัน แต่แยกเป็นคนไทยกับคนต่างชาติเท่ากันคือ 50% ซึ่งพอใจกับตัวเลขที่เป็นอยู่ แต่ปีนี้ตั้งเป้าหมายที่จะมีผู้เข้าใช้บริการในห้างเซ็นทรัลเอ็มบาสซีเพิ่มเป็น 40,000 คนต่อวันให้ได้ โดยเน้นไปที่คนไทยเป็น 60% และคนต่างชาติ 40%
แต่ละค่ายก็ตั้งเป้าไว้สวยหรู และมั่นใจว่าจะทำให้ได้ แต่นี่ก็เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น
ศึกยกแรกของห้างหรูจากทั้งสองค่ายยักษ์เพิ่งเริ่มต้น แต่ก็สนุกไม่น้อย ต้องจับตาดูกันต่อไปถึงการประหมัดจากนี้อีก