ASTVผู้จัดการรายวัน – ลักชัวรี่แบรนด์เงียบ คนไม่มีอารมณ์ใช้เงินในสถานการณ์ม็อบชุมนุม “เดอะ มอลล์ กรุ๊ป” จับมือ กสิกรไทย ปลุกตลาดพรีเมี่ยมส่งท้ายปี ทุ่ม 40 ล้านบาท จัดแคมเปญพิเศษ “เอ็มโพเรี่ยม กิฟท์ กาล่า โชว์เคส” หวังดันยอดขายกลุ่มแฟชั่น ลักซัวรี่แบรนด์โต 20% หลังยอด 10เดือนที่ผ่านมาโตแค่ 5-10% เท่านั้น เชื่อได้รัฐบาลใหม่เร็ว เศรษฐกิจจะกลับมาดีขึ้น
นายมนาเทศ อันนวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรี่ยม เปิดเผยว่า ภาพรวมสินค้าแฟชั่น และลักชัวรี่แบรนด์ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา เติบโตแค่ 1 หลัก หรือประมาณ 5-10% โดยกลุ่มสินค้าระดับเอ็กซ์คลูซีฟ ลักชัวรี่ จริงๆยังมียอดขายที่ดีอยู่ แต่บางแบรนด์ในระดับกลางลงมาก็มียอดขายลดลง โดยต้องยอมรับว่าพอมีเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองเกิดขึ้น ส่งผลให้คนไม่อยากออกมาเดินห้างเพื่อจับจ่ายใช้สอยตามปกติ ทางห้างเองก็ไม่อยากจัดอีเว้นท์เพราะรู้ว่าจะไม่มีคนมาเดิน
แต่ในเดือนธ.ค.ถือเป็นเดือนแห่งการจับจ่ายใช้สอย และเป็นเดือนแห่งความสุข ซึ่งมีทั้งวันเฉลิมพระชนม์พรรษา 5 ธ.ค. และเป็นช่วงเทศกาลแห่งการให้ความสุข ทางเดอะมอลล์ กรุ๊ป จึงยังคงเดินหน้าจัดแคมเปญอย่างต่อเนื่อง และมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายตลอดทั้งปีที่ผ่านมา
ล่าสุดจับมือกับทางกสิกรไทย ด้วยงบกว่า 30-40 ล้านบาท สำหรับจัดแคมเปญ เอ็มโพเรี่ยม กิฟท์ กาล่า โชว์เคส พร้อมโปรแกรมแบ่งจ่ายรายเดือน 0% นานสูงสุด 10 เดือน ถือเป็นครั้งแรกที่บริษัทจับมือกับสถาบันการเงินในการจัดผ่อน 0% ในกลุ่มสินค้าแฟชั่นและลักชัวรี่แบรนด์ ซึ่งขณะนี้มีเข้าร่วมรายการแล้วประมาณ 20 แบรนด์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 11 ธ.ค.-12 ม.ค.ที่จะถึงนี้ ณ ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรี่ยม คาดว่าจะมียอดขายภายในงานกว่า 350 ล้านบาท พร้อมส่งผลให้ยอดขายกลุ่มแฟชั่น และลักชัวรี่แบรนด์เติบโตได้ถึง 20%
“การจัดแคมเปญครั้งนี้ ส่วนสำคัญเพื่อต้องการเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ให้มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในย่านสุขุมวิท ตามเส้นทางรถไฟฟ้า ที่พบว่ามีกำลังซื้อสูง เห็นได้จากอสังหาริมทรัพย์ คอนโดมิเนี่ยม ที่เกิดขึ้นหลายโครงการ รวมถึงกลุ่มพนักงานออฟฟิศระดับกลางถึงบน ที่ต้องการซื้อสินค้าแฟชั่นและลักชัวรี่แบรนด์ให้กับตัวเองมากขึ้น”
อย่างไรก็ตามเฉพาะไตรมาสสี่ที่ผ่านมา ยอดขายของดิ เอ็มโพเรี่ยม โตขึ้น 20% เทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา ซึ่งรายได้ของไตรมาสสุดท้ายมีสัดส่วนกว่า 30% ของรายได้ทั้งปี ขณะที่รายได้หลักของเดอะ มอลล์ กรุ๊ป อันดับ 1. คือ สยามพารากอน 2.เอ็มโพเรี่ยม 3.เดอะมอลล์ สาขา อื่นๆ จากปัจจุบันมีฐานสมาชิกบัตรเอ็มการ์ดกว่า 2 ล้านใบ แพลทินัม 2 หมื่นใบ และสกาเล็ตไดมอนด์ 550ใบ
ทั้งนี้มองว่าในปีหน้าบริษัทจะมีรายได้เติบโตอย่างก้าวกระโดด จากแผนการลงทุนกว่า 20,000 ล้านบาท ในหลายๆโครงการที่กำลังจะเกิดขึ้นทั้งการรีโนเวทใหญ่เอ็มโพเรียม และการสร้างใหม่อีก 2 สาขาคือ เอ็มควอเทียร์และเอ็มสเฟียร์ที่สุขุมวิท บวกกับการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายตามมา ที่จะช่วยกระตุ้นยอดขาย แต่มองว่า ค่าเงินบาท จะเป็นปัจจัยสำคัญของยอดขาย โดยเฉพาะกับกลุ่มสินค้าแฟชั่นและลักชัวรี่แบรนด์ รวมถึงความมั่นคงทางการเมือง หากยังไม่นิ่งจะส่งผลให้คนไม่มีอารมณ์ในการจับจ่ายใช้สอย
ด้านนายชาติชาย พยุหนาวีชัย รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคาร กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันผู้ถือบัตรเครดิตของกสิกรไทยระดับบนมีกว่า 10% ของฐานสมาชิกรวมกว่า 3 ล้านใบ ซึ่งภายในงานคาดว่าจะมีผู้สมัครบัตรหน้างานใหม่ไม่ต่ำกว่า 200 ราย ขณะที่วงเงินในการผ่อนชำระในครั้งนี้ เริ่มตั้งแต่ 1หมื่นบาท-1 แสนบาท โดยมองว่าจากแคมเปญดังกล่าวจะช่วยให้บริษัทมียอดการจับจ่ายผ่านบัตรเครดิตที่ 2.5 แสนล้านบาท ต่ำกว่าเป้าเล็กน้อย จากเดิมที่วางไว้ที่ 2.6 แสนล้านบาท หรือมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 25%
โดยมองว่าในปี2557นี้ ภาพรวมตลาดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตจะเติบโตขึ้น 13% ส่วนของกสิกรไทยน่าจะโตเท่าปีนี้ที่ 25-30% ซึ่งมองว่าหากมีปัจจัยบวกอย่างเรื่อง อัตราดอกเบี้ยต่ำที่มีการปรับลดลงมาแล้วนั้น จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมให้ดีขึ้น โครงการ 2 ล้านล้านบาท ถ้าเกิดขึ้นได้จริง และหากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ขึ้นมาได้เร็ว ก็จะยิ่งทำให้เศรษฐกิจกลับมาแข็งแกร่งได้อย่างรวดเร็ว และทำให้จีดีพีของประเทศน่าจะโตที่ 4% ตามที่คาดการณ์ไว้
ส่วนปัจจัยลบนั้น มองว่า การส่งออกหากชะลอตัวลง จะทำให้เศรษฐกิจรวมไม่โต การเมืองและอัตราดอกเบี้ยผันผวนจะทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจไม่ดีตามไปด้วย
นายมนาเทศ อันนวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรี่ยม เปิดเผยว่า ภาพรวมสินค้าแฟชั่น และลักชัวรี่แบรนด์ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา เติบโตแค่ 1 หลัก หรือประมาณ 5-10% โดยกลุ่มสินค้าระดับเอ็กซ์คลูซีฟ ลักชัวรี่ จริงๆยังมียอดขายที่ดีอยู่ แต่บางแบรนด์ในระดับกลางลงมาก็มียอดขายลดลง โดยต้องยอมรับว่าพอมีเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองเกิดขึ้น ส่งผลให้คนไม่อยากออกมาเดินห้างเพื่อจับจ่ายใช้สอยตามปกติ ทางห้างเองก็ไม่อยากจัดอีเว้นท์เพราะรู้ว่าจะไม่มีคนมาเดิน
แต่ในเดือนธ.ค.ถือเป็นเดือนแห่งการจับจ่ายใช้สอย และเป็นเดือนแห่งความสุข ซึ่งมีทั้งวันเฉลิมพระชนม์พรรษา 5 ธ.ค. และเป็นช่วงเทศกาลแห่งการให้ความสุข ทางเดอะมอลล์ กรุ๊ป จึงยังคงเดินหน้าจัดแคมเปญอย่างต่อเนื่อง และมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายตลอดทั้งปีที่ผ่านมา
ล่าสุดจับมือกับทางกสิกรไทย ด้วยงบกว่า 30-40 ล้านบาท สำหรับจัดแคมเปญ เอ็มโพเรี่ยม กิฟท์ กาล่า โชว์เคส พร้อมโปรแกรมแบ่งจ่ายรายเดือน 0% นานสูงสุด 10 เดือน ถือเป็นครั้งแรกที่บริษัทจับมือกับสถาบันการเงินในการจัดผ่อน 0% ในกลุ่มสินค้าแฟชั่นและลักชัวรี่แบรนด์ ซึ่งขณะนี้มีเข้าร่วมรายการแล้วประมาณ 20 แบรนด์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 11 ธ.ค.-12 ม.ค.ที่จะถึงนี้ ณ ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรี่ยม คาดว่าจะมียอดขายภายในงานกว่า 350 ล้านบาท พร้อมส่งผลให้ยอดขายกลุ่มแฟชั่น และลักชัวรี่แบรนด์เติบโตได้ถึง 20%
“การจัดแคมเปญครั้งนี้ ส่วนสำคัญเพื่อต้องการเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ให้มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในย่านสุขุมวิท ตามเส้นทางรถไฟฟ้า ที่พบว่ามีกำลังซื้อสูง เห็นได้จากอสังหาริมทรัพย์ คอนโดมิเนี่ยม ที่เกิดขึ้นหลายโครงการ รวมถึงกลุ่มพนักงานออฟฟิศระดับกลางถึงบน ที่ต้องการซื้อสินค้าแฟชั่นและลักชัวรี่แบรนด์ให้กับตัวเองมากขึ้น”
อย่างไรก็ตามเฉพาะไตรมาสสี่ที่ผ่านมา ยอดขายของดิ เอ็มโพเรี่ยม โตขึ้น 20% เทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา ซึ่งรายได้ของไตรมาสสุดท้ายมีสัดส่วนกว่า 30% ของรายได้ทั้งปี ขณะที่รายได้หลักของเดอะ มอลล์ กรุ๊ป อันดับ 1. คือ สยามพารากอน 2.เอ็มโพเรี่ยม 3.เดอะมอลล์ สาขา อื่นๆ จากปัจจุบันมีฐานสมาชิกบัตรเอ็มการ์ดกว่า 2 ล้านใบ แพลทินัม 2 หมื่นใบ และสกาเล็ตไดมอนด์ 550ใบ
ทั้งนี้มองว่าในปีหน้าบริษัทจะมีรายได้เติบโตอย่างก้าวกระโดด จากแผนการลงทุนกว่า 20,000 ล้านบาท ในหลายๆโครงการที่กำลังจะเกิดขึ้นทั้งการรีโนเวทใหญ่เอ็มโพเรียม และการสร้างใหม่อีก 2 สาขาคือ เอ็มควอเทียร์และเอ็มสเฟียร์ที่สุขุมวิท บวกกับการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายตามมา ที่จะช่วยกระตุ้นยอดขาย แต่มองว่า ค่าเงินบาท จะเป็นปัจจัยสำคัญของยอดขาย โดยเฉพาะกับกลุ่มสินค้าแฟชั่นและลักชัวรี่แบรนด์ รวมถึงความมั่นคงทางการเมือง หากยังไม่นิ่งจะส่งผลให้คนไม่มีอารมณ์ในการจับจ่ายใช้สอย
ด้านนายชาติชาย พยุหนาวีชัย รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคาร กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันผู้ถือบัตรเครดิตของกสิกรไทยระดับบนมีกว่า 10% ของฐานสมาชิกรวมกว่า 3 ล้านใบ ซึ่งภายในงานคาดว่าจะมีผู้สมัครบัตรหน้างานใหม่ไม่ต่ำกว่า 200 ราย ขณะที่วงเงินในการผ่อนชำระในครั้งนี้ เริ่มตั้งแต่ 1หมื่นบาท-1 แสนบาท โดยมองว่าจากแคมเปญดังกล่าวจะช่วยให้บริษัทมียอดการจับจ่ายผ่านบัตรเครดิตที่ 2.5 แสนล้านบาท ต่ำกว่าเป้าเล็กน้อย จากเดิมที่วางไว้ที่ 2.6 แสนล้านบาท หรือมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 25%
โดยมองว่าในปี2557นี้ ภาพรวมตลาดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตจะเติบโตขึ้น 13% ส่วนของกสิกรไทยน่าจะโตเท่าปีนี้ที่ 25-30% ซึ่งมองว่าหากมีปัจจัยบวกอย่างเรื่อง อัตราดอกเบี้ยต่ำที่มีการปรับลดลงมาแล้วนั้น จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมให้ดีขึ้น โครงการ 2 ล้านล้านบาท ถ้าเกิดขึ้นได้จริง และหากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ขึ้นมาได้เร็ว ก็จะยิ่งทำให้เศรษฐกิจกลับมาแข็งแกร่งได้อย่างรวดเร็ว และทำให้จีดีพีของประเทศน่าจะโตที่ 4% ตามที่คาดการณ์ไว้
ส่วนปัจจัยลบนั้น มองว่า การส่งออกหากชะลอตัวลง จะทำให้เศรษฐกิจรวมไม่โต การเมืองและอัตราดอกเบี้ยผันผวนจะทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจไม่ดีตามไปด้วย