xs
xsm
sm
md
lg

“เถ้าแก่น้อย” เลื่อนเข้าตลาดหุ้น แตกไลน์ปั้น “ต๊อบคอร์น” เพิ่มฐาน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง (แฟ้มภาพ)
ASTVผู้จัดการรายวัน - “เถ้าแก่น้อย” เลื่อนเข้าตลาดหุ้นไปก่อน เหตุปัญหาการเมือง ล่าสุดส่ง “ต๊อบคอร์น” ลุยตลาดป็อปคอร์นหวังโค่นแชมป์ใน 5 ปี เล็งตั้งโรงงานต่างประเทศ สานฝันโกลบอลแบรนด์ใน 10 ปีเร็วขึ้น

นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตัดสินใจเลื่อนการนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยออกไปก่อน จากเดิมที่ต้องเข้าตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว เนื่องจากสถานการณ์ยังไม่พร้อม รวมทั้งปัญหาการเมืองที่ยืดเยื้อด้วย

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ก็ยังเดินหน้าขยายธุรกิจต่อเนื่อง ล่าสุดขยายตลาดสแน็กในกลุ่มข้าวโพดคั่วสดพรีเมียมแบรนด์ “ต๊อบคอร์น” ด้วยการลงทุน 50 ล้านบาท ซื้อเครื่องจักรในส่วนของไลน์การผลิตป็อปคอร์นที่จะจำหน่ายผ่านทางร้านสะดวกซื้อที่โรงงานจังหวัดปทุมธานี ซึ่งล่าสุดก็ยังได้ลงทุนอีก 100 ล้านบาทเพื่อขยายการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 50% ที่บริเวณนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

การรุกตลาดป็อปคอร์นเพราะเป็นตลาดที่เติบโตดีมากกว่า 30-40% ต่อปี แม้ว่ามูลค่าตลาดรวมจะยังไม่มาแค่ 300-400 ล้านบาทต่อปี ซึ่งไม่รวมป็อปคอร์นในช่องทางโรงภาพยนตร์ แต่เติบโตมากกว่าสแน็กกลุ่มอื่นที่เฉลี่ยเติบโต 3-4% เท่านั้น จากมูลค่าตลาดรวมสแน็กในไทยที่มีประมาณ 20,000 ล้านบาท ซึ่งปีที่แล้วเติบโตเพียง 3-4% ถือว่าต่ำสุดในรอบ 10 ปี

กลยุทธ์การตลาดของต๊อบคอร์นจะมีสินค้าที่มาจาก 1. แบบคั่วสดหน้าร้าน 2. จำหน่ายเป็นแพกสำเร็จรูปในร้านสะดวกซื้อ ซึ่งจะเปิดร้านไปพร้อมกับร้านเถ้าแก่น้อยแลนด์และรูปแบบร้านค้าเดี่ยว ลงทุน 4 ล้านบาท พื้นที่ 30-50 ตารางเมตร ปีนี้จะเปิด 6 สาขา สัดส่วนที่ 50:50 และอีก 5 ปีจะเปิดให้ได้ 100 สาขาทั้งในประเทศและประเทศแถบกลุ่มอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย สิงคโปร์ พม่า กัมพูชา มาเลเซีย

ในปีแรกตั้งเป้ารายได้ของ “ต๊อบคอร์น” ไว้ 100 ล้านบาท คาดหวังส่วนแบ่งทางการตลาดปีนี้ไว้ 15% และคาดว่าอีก 5 ปี “ต๊อบคอร์น” จะมีรายได้ 1,000 ล้านบาท พร้อมขึ้นเป็นผู้นำตลาดป็อปคอร์นด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด 50% ขึ้นไป ซึ่งปัจจุบันแบรนด์โตโรเป็นผู้นำตลาดอยู่

นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังมีความสนใจที่จะไปเปิดโรงงานในต่างประเทศ ซึ่งประเทศที่มีโอกาสและความเป็นไปได้คือ อินโดนีเซีย จีน พม่า ซึ่งในแต่ละประเทศต้องมียอดขายตั้งแต่ 300-500 ล้านบาทถึงจะมีการลงทุนเข้าไปเปิดโรงงานได้ โดยนับจากนี้ไม่เกิน 3 ปีมีความเป็นไปได้ที่จะได้เห็นการสร้างโรงงานในต่างประเทศ

การขายยธุรกิจใหม่ๆ จะเป็นอีกหนทางหนึ่งที่ทำให้เถ้าแก่น้อยไปถึงเป้าหมายตามที่ตั้งไว้ว่าภายใน 10 ปีจะก้าวขึ้นเป็นโกลบอลแบรนด์ให้ได้ด้วยยอดขายเกิน 10,000 ล้านบาทจากทั่วโลก ปัจจุบันเถ้าแก่น้อยมีรายได้รวม 3,000 กว่าล้านบาทจากการจำหน่ายกว่า 27 ประเทศ โดยปีนี้ตั้งเป้ารายได้รวมไว้ 3,250 ล้านบาท


กำลังโหลดความคิดเห็น