xs
xsm
sm
md
lg

ตลาดโฮมชอปปิ้งไทยโตต่อเนื่อง 25% “1577” วาดแผนขึ้นบัลลังก์แชมป์ปี 57

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

จุล โชติกะวรรณ กรรมการบริหาร บริษัท พรอพเพอร์ตี้ เทคโนโลยี่ จำกัด
ASTVผู้จัดการ - “1577 โฮมชอปปิ้ง” ส่งผลิตภัณฑ์ใหม่กลุ่มอัญมณีช่วงโค้งสุดท้ายปี 56 พร้อมอัดแคมเปญใหญ่หวังทำรายได้เข้าเป้า 1.4 พันล้านบาท แจงจุดต่างตลาดไทย-จีน-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ ย้ำไทยมีข้อจำกัดหลายด้านหมดโอกาสขึ้นชั้นเทียบเท่า แต่ยังเติบโตต่อเนื่องปีละ 25% วางแผนพัฒนาระบบขนส่ง คลังสินค้า และพนักงาน พร้อมเทงบฯ ตลาด 250 ล้านบาท หวังยอดขาย 2.4 พันล้านบาท ขึ้นผู้นำตลาดปี 57

นายจุล โชติกะวรรณ กรรมการบริหาร บริษัท พรอพเพอร์ตี้ เทคโนโลยี่ จำกัด ผู้ให้บริการช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ่านระบบคอลเซ็นเตอร์แบบครบวงจรรายแรกในประเทศไทยภายใต้ชื่อ “1577 โฮม ชอปปิ้ง” เปิดเผยว่า แม้ตลาดโฮมชอปปิ้งไทยจะมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องมาตลอด แต่ยังมีข้อจำกัดที่ค่อนข้างเข้มงวดในด้านการนำเสนอข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน เช่น สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) สำนักงานเลขาธิการอาหารและยา (อย.) และอื่นๆ จึงทำให้ตลาดโฮมชอปปิ้งไทยไม่มีโอกาสขยายตัวได้สูงจนเทียบระดับเดียวกับประเทศผู้นำด้านโฮมชอปปิ้งในเอเชีย เช่น จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ได้

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเริ่มมีผู้ประกอบการโฮมชอปปิ้งจากประเทศจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยเพิ่มขึ้น เนื่องจากเห็นถึงโอกาสในการขยายธุรกิจหลังจากประสบความสำเร็จในประเทศตนเองแล้วจนทำให้อยู่ในภาวะตลาดอิ่มตัว แต่แนวทางการทำตลาดในประเทศไทยอาจได้ผลไม่รวดเร็วนัก ขณะที่ผลิตภัณฑ์บางชนิดอาจไม่ได้รับการตอบรับเท่าที่ควร เนื่องจากข้อจำกัดดังกล่าวและความแตกต่างกันด้านวัฒนธรรมและการสร้างการรับรู้ให้ผู้บริโภค

การทำตลาดโฮมชอปปิ้งในประเทศไทยมีข้อจำกัดเช่นเดียวกับประเทศสิงคโปร์และมาเลเซีย จึงทำให้ผู้ประกอบการโฮมชอปปิ้งจากทั้ง 3 ประเทศเริ่มเข้าไปทำตลาดในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งนอกจากจะมีข้อจำกัดน้อยกว่าแล้ว ยังมีขนาดตลาดและจำนวนประชากรที่มากกว่า 200 ล้านคน จึงทำให้เชื่อได้ว่าตลาดโฮมชอปปิ้งของอินโดนีเซียจะมีพัฒนาการทางการตลาดที่เติบโตมากกว่าประเทศไทยในอนาคตอันใกล้

“จีนถือเป็นผู้นำตลาดโฮมชอปปิ้งในเอเชีย เนื่องจากมีความได้เปรียบด้านตลาดและจำนวนประชากรซึ่งมีขนาดใหญ่มาก ทั้งยังมีความแตกต่างในการทำตลาดด้วยการผสมผสานช่องทางการจำหน่ายระหว่างสื่อโทรทัศน์กับสื่อออนไลน์ได้อย่างลงตัว จึงทำให้การแนะนำสินค้าต่างๆ ประสบความสำเร็จเกินคาด โดยผู้ประกอบการบางรายสามารถทำยอดขายได้มากถึง 1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐภายในเวลา 1 วัน โดยมีสินค้าขายดีอันดับ 1 คือโทรศัพท์มือถือ ขณะที่ประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ถือว่ามีพัฒนาการด้านการตลาดสูงมาก ทั้งยังไม่มีข้อจำกัดใดๆ ในการทำตลาด จึงทำให้มีช่องทางการสร้างการรับรู้สู่ผู้บริโภคได้อย่างมีสีสันและเร้าใจ ทำให้มูลค่าตลาดโฮมชอปปิ้งมีสัดส่วนประมาณ 3.5-5% ของตลาดค้าปลีก ขณะที่มูลค่าตลาดโฮมชอปปิ้งไทยมีมูลค่าเล็กน้อยเพียงไม่ถึง 1% เท่านั้น”

เพิ่มสินค้าใหม่ดันยอดขาย 1.4 พันล้านบาท

ปัจจุบันบริษัทมีสินค้าที่จัดจำหน่ายประมาณ 700 รายการ แบ่งสัดส่วนเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมประมาณ 40-50% ผลิตภัณฑ์ความงาม 30% และผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนทั่วไป 10-20% โดยมีฐานลูกค้าที่มีกำลังซื้อต่อเนื่องประมาณ 1.2 ล้านคน แบ่งเป็นลูกค้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 60% ส่วนที่เหลือ 40% เป็นการกระจายตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ

ในช่วงสุดท้ายของปี 2556 บริษัทได้เพิ่มสินค้าใหม่คือกลุ่ม “จิวเวลรีซีแซด” แบรนด์ “เอลีนา” (ELENA) มาทดลองทำตลาดและกระตุ้นยอดขาย เนื่องจากเป็นสินค้าที่ตอบสนองความต้องการและไลฟ์สไตล์ผู้บริโภครุ่นใหม่ในราคาไม่สูงมากนัก ทั้งยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่เหมาะใช้เป็นของขวัญของฝากในช่วงเทศกาลต้อนรับปีใหม่ โดยคาดว่าจะช่วยทำให้บริษัทสามารถทำยอดขายรวมได้ตามที่ตั้งเป้าไว้คือ 1.4 พันล้านบาท หรือเติบโตขึ้นจากปีก่อน 30% โดยมีปัจจัยสำคัญคือการเปิดตัวสินค้าใหม่ในกลุ่มสุขภาพและความงามตลอดทั้งปี เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคซึ่งต่างให้การยอมรับในคุณภาพและมีการบอกต่อกันมากขึ้น

ปี 57 ตั้งเป้าขึ้นบัลลังก์แชมป์

ในปี 2557 บริษัทตั้งเป้าหมายสำคัญว่าจะก้าวขึ้นสู่ผู้นำตลาดโฮมชอปปิ้งโดยสามารถทำยอดขายได้เพิ่มขึ้น 20% หรือประมาณ 2.4 พันล้านบาท พร้อมมุ่งขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นอีก 40% รวมทั้งเพิ่มสินค้าใหม่อีกประมาณ 15% โดยเตรียมใช้งบประมาณการตลาด รวมถึงโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อโทรทัศน์และสิ่งพิมพ์ประมาณ 250 ล้านบาทเพื่อเป็นการส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง

“ปัจจุบันยังไม่สามารถประเมินมูลค่าตลาดโฮมชอปปิ้งได้อย่างเป็นทางการ เพราะนอกจากผู้ประกอบการรายใหญ่แล้ว ยังมีผู้ประกอบการรายเล็กอีกเป็นจำนวนมาก จึงทำให้มูลค่าตลาดอยู่ในช่วงระหว่าง 1.2-1.8 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่าในปี 2557 จะมีการเติบโตประมาณ 25% ซึ่งแม้ภาวะการแข่งขันจะค่อนข้างรุนแรง แต่ก็ส่งผลดีต่อภาพรวมตลาดให้มีความคึกคักขึ้น และผู้บริโภคได้รับประโยชน์สูงสุดจากสินค้าและบริการทั้งในเรื่องราคาและคุณภาพ เนื่องจากผู้ประกอบการแต่ละรายต่างมีจุดแข็งและกลไกการตลาดที่แตกต่างกัน ส่งผลให้มีผู้บริโภคกลุ่มใหม่ๆ เริ่มทดลองใช้บริการและมีประสบการณ์การซื้อเพิ่มขึ้น”

เผย 3 แผนพัฒนาธุรกิจ

จากเป้าหมายดังกล่าวบริษัทจึงมีการเร่งพัฒนางานในด้านต่างๆ โดยกำลังเตรียมย้ายที่ตั้งใหม่จากย่าน ถ.วิภาวดีรังสิต ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 1.5-2 พันตารางเมตร ไปสู่ ซ.รามคำแหง 60/4 ซึ่งมีพื้นที่มากถึง 1.2 หมื่นตารางเมตร พร้อมใช้งบลงทุนประมาณ 20 ล้านบาท พัฒนาระบบคลังสินค้าและการขนส่งโดยใช้สายพานลำเลียงเป็นบริษัทแรกในธุรกิจโฮมชอปปิ้ง โดยมีพื้นที่คลังสินค้าถึง 4 พันตารางเมตร

นอกจากนี้ยังเน้นด้านการพัฒนาบุคลากรทุกๆ ฝ่ายเพื่อให้สามารถบริการและอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเรื่องการจัดส่งสินค้าซึ่งต้องมีความถูกต้อง รวดเร็ว และสามารถส่งสินค้าถึงผู้บริโภคในสภาพสมบูรณ์เรียบร้อยมากที่สุด

ขณะเดียวกันบริษัทยังเพิ่มช่องทางการจำหน่ายและติดต่อสื่อสารกับผู้บริโภคในระบบออนไลน์คือเว็บไซต์ www.lanlabuy.com เพื่อขยายตลาดลูกค้าในกลุ่ม e-Commerce และรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยคาดหวังยอดขายจากช่องทางนี้ประมาณ 5-10% จากยอดขายทั้งหมด ในขณะที่ยังคงใช้ช่องทางหลักคือฟรีทีวี เคเบิล และดาวเทียม ประมาณ 90%

รับปัญหา “ราคาสื่อ” หนักกว่า “การเมือง”

สำหรับสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน นายจุลให้ความเห็นว่าค่อนข้างมีผลต่อตลาดโฮมชอปปิ้งในระดับหนึ่ง เนื่องจากมีผู้บริโภคเป็นจำนวนไม่น้อยที่ให้ความสนใจและติดตามข้อมูลข่าวสารการเมืองทางโทรทัศน์จนทำให้ช่องทางการรับรู้สินค้าลดลง แต่เชื่อว่าคงไม่กระทบต่อยอดขายมากนักเพราะเป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนัก เว้นแต่ว่าเหตุการณ์ยังคงยืดเยื้อต่อไปผู้ประกอบการก็จำเป็นต้องปรับตัวโดยสร้างช่องทางการสร้างการรับรู้ใหม่ๆ ให้ผู้บริโภคเพิ่มขึ้น

“แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือเรื่องราคาสื่อ ทั้งฟรีทีวี เคเบิล และดาวเทียม ที่มีการปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 30-40% มาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2556 โดยคาดว่าในปี 2557 จะยังคงมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นอีก บริษัทจึงจำเป็นต้องมีการปรับตัวด้วยการสร้างคอนเทนต์ใหม่ๆ รวมถึงให้ความสำคัญในเรื่องคุณภาพสินค้าและบริการการจัดส่ง โดยอาจมีการตัดงบโฆษณาในบางรายการลงแม้รายการนั้นจะมีเรตติ้งดีก็ตาม”

อนึ่ง บริษัทมีการจัดแคมเปญใหญ่ส่งท้ายปี 2556 ต่อเนื่องถึงวันที่ 31 ม.ค. 57 ซึ่งบริษัทจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 เพื่อคืนกำไรแก่ลูกค้าด้วยการแจกรถยนต์และทองคำแท่งรวม 92 รางวัล มูลค่า 3 ล้านบาท ทั้งยังมีแคมเปญการตลาดของผลิตภัณฑ์แต่ละแบรนด์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นรางวัลที่ตรงใจลูกค้ามากที่สุดเนื่องจากได้มีการสำรวจความคิดเห็นลูกค้ามาก่อนหน้านั้นนั่นเอง


กำลังโหลดความคิดเห็น