“มัดแมน” เร่งเครื่องขอไลเซนส์บริษัทแม่โอบองแปงทำตลาดอาเซียนเพิ่ม เล็งสิงคโปร์ มาเลเซีย มั่นใจผลงานในไทยเข้าตาบริษัทแม่ ปีนี้เปิดใหม่ 8 สาขา ยอมรับรายได้รวมพลาดเป้า 4% ทำได้ 16% พร้อมหันหน้ามุ่งเปิดสาขาในมหาวิทยาลัยขยายฐานวัยรุ่น
นายนาดิม ซาเวียร์ ซาลฮานี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอบีพีคาเฟ่ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารร้านโอบองแปงในไทย ในเครือ บริษัท มัดแมน จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจากับทางเจ้าของสิทธิ์แบรนด์โอบองแปงในประเทศอเมริกา เพื่อที่จะขอไลเซนส์ในการขยายธุรกิจเข้าไปยังประเทศในกลุ่มเออีซีหรือประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่จะเกิดขึ้นในปี 2558 ซึ่งเร็วๆ นี้ทางผู้บริหารระดับสูงของโอบองแปงที่ดูแลด้านการพัฒนาธุรกิจก็จะเดินทางมาเยือนไทยเพื่อร่วมฉลองเปิดสาขาที่ 60 ในไทยด้วย
“เราเจรจากันมากว่า 3 ปีแล้ว ซึ่งทางบริษัทแม่ก็มีความมั่นใจเพราะเขาดูจากความสำเร็จที่เราทำโอบองแปงไทยมีความแข็งแกร่งทั้งด้านการบริหาร การจัดการ การตลาด และเป็นแฟรนไชซีของโอบองแปงที่มีสาขามากที่สุดในโลกกว่า 60 แห่งแล้วตอนนี้ แต่ในเบื้องต้นเขาอยากให้เราไปเปิดตลาดอินโดนีเซียก่อน แต่เรามองว่ามันไกล เพราะช่วงแรกเราคงให้ความสนใจไปที่ตลาดมาเลเซีย สิงคโปร์ ซึ่งสิงคโปร์เคยมีแฟรนไชซีรายอื่นเปิดมานานแต่เลิกไปแล้ว แต่เราก็ยังไม่ได้ข้อสรุป”
ปัจจุบันโอบองแปงมีการขยายนอกประเทศอเมริกา เช่น ไทย คูเวต อินเดียมี 20 กว่าสาขา ส่วนอเมริกามีการให้ไลเซนส์เป็นเมืองๆ ไป ซึ่งที่มีมากสุดก็คือ ไมอามี 25 สาขา เท่านั้นเอง ขณะที่บริษัทแม่มีสาขาประมาณ 10 กว่าแห่ง แต่ถ้ารวมอเมริกาทั้งประเทศมีประมาณ 200 กว่าสาขา
อย่างไรก็ตาม โอบองแปงไทยตั้งเป้าหมายจะมีสาขาครบ 100 แห่งภายในอีก 5 ปีจากนี้ ซึ่งปัจจุบันมีสาขา 60 แห่ง ล่าสดุคือที่เควิลเจสุขุมวิท 26 โดยปีนี้เปิดสาขาใหม่รวม 8 แห่ง และปรับปรุงอีก 2 สาขา ใช้งบรวม 50 ล้านบาท ขณะที่ปีหน้าก็ตั้งเป้าหมายที่จะเปิดสาขาใหม่อีก 6-8 สาขา งบลงทุนประมาณ 40 ล้านบาท งบตลาดอีก 20 ล้านบาท
นายนาดิมกล่าวว่า แนวโน้มจะมีผู้ประกอบการแบรนด์ใหม่เข้าสู่ตลาดมากขึ้น ซึ่งขณะนี้ก็มีหลายแบรนด์เข้ามาเปิดในไทย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการขายกาแฟเป็นหลัก แตกต่างจากโอบองแปงที่เป็นคาเฟ่เบเกอรี แต่โดยรวมแล้วก็จะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคที่มีทางเลือกมากขึ้นและทำให้ตลาดรวมเติบโตขึ้นมาก
สำหรับโอบองแปงปีนี้ตั้งเป้ารายได้ 600 ล้านบาท ตั้งเป้าเติบโต 20% แต่คาดว่าจะโตเพียง 16% เพราะปัญหาเศรษฐกิจและการขึ้นค่าแรงเป็น 300 บาทตั้งแต่ต้นปี โครงการรถคันแรกกระทบต่อรายได้ของประชาชนส่วนหนึ่งด้วย แต่ปริมาณการซื้อต่อบิลเพิ่มขึ้นจาก 140 บาทต่อบิลเมื่อปีที่แล้วเป็น 160 บาทต่อบิลในปีนี้ ซึ่งมาจากการที่สินค้ามีการปรับราคา 5% เมื่อต้นปี และการที่ผู้บริโภคซื้อมากขึ้นเพราะการทำโปรโมชันและการออกเมนูใหม่ต่อเนื่อง แต่ในแง่ปริมาณลูกค้าที่เข้าร้านลดลง 5% โดยเฉพาะสาขาในศูนย์การค้า แต่ปีหน้าตั้งเป้าเติบโตไว้ 20% เช่นเดิม
“ตอนนี้เราไปทุกทำเลทั้งโรงพยาบาลที่เราแข็งแกร่งมีมากกว่า 17 สาขา ออฟฟิศกว่า 15 สาขา และศูนย์การค้า 15 สาขา และอื่นๆ ที่เราสนใจเพิ่มขึ้นคือ มหาวิทยาลัยซึ่งจะขยายฐานกลุ่มวัยรุ่นได้มากขึ้น ตอนนี้เริ่มแล้ว เปิดสาขาแรกที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์”