“แม็คกรุ๊ป” ผุดบริษัทโฮลดิ้งคอมปานีเป็นหัวหอกเข้าลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ สู่ไลฟ์สไตล์ หวังขยายพอร์ตโฟลิโอ ประเดิมเทกโอเวอร์ไทม์เดคโค่ รุกจัดจำหน่ายนาฬิกาแบรนด์เนม พร้อมขยายธุรกิจแม็คยีนส์ไปต่างประเทศ พุ่งเป้าอาเซียน
นางสาวอรศิรี ชินกำธรวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ แม็คยีนส์ และแม็ค มินิ บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ วางนโยบายที่จะขยายธุรกิจสินค้าไลฟ์สไตล์มากขึ้น จากปัจจุบันมีผลิตภันฑ์เสื้อผ้ายีนส์เท่านั้น เพื่อเป็นการขยายพอร์ตโฟลิโอของบริษัทฯ และเพื่อที่จะทำให้รายได้รวมเพิ่มขึ้นสองเท่าภายในเวลา 4 ปีจากนี้ โดยใช้บริษัท ลุค บาลานซ์ จำกัด ที่ตั้งขึ้นมาใหม่เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจ
ทั้งนี้ บริษัท แม็คกรุ๊ปได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมาว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 5/2556 เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2556 ได้มีมติจัดตั้งบริษัทใหม่ชื่อว่า บริษัท ลุค บาลานซ์ จำกัด เพื่อลงทุนในกิจการอื่นแบบโฮลดิ้งคอมปานี ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท โดยบริษัท แม็คกรุ๊ป ถือหุ้น 99.97%
โดยบริษัท ลุค บาลานซ์ ได้ลงทุน 210 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนหุ้น 51% ในบริษัท ไทม์ เดคโค่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจนำเข้าและจัดจำหน่ายนาฬิกาแบรนด์ชั้นนำจากทั่วโลก ซึ่งมีทุนจดทะเบียนเดิม 10 ล้านบาท และมีแผนที่จะเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก ซึ่งหลังจากนี้ นายวราฤทธิ์ เปล่งวาณิช จะเหลือหุ้น 24.50% จากเดิมมี 49.99% และนายภาณุ ณรงค์ชัยกุล เหลือหุ้น 24.50% จากเดิมมี 49.99% และอื่นๆอีก 0.02%
สำหรับบริษัท ไทม์เดคโค่ มีรายได้สิ้นสุดเดือนกันยายน ปี 2554 ประมาณ 476 ล้านบาท กำไรสุทธิ 28 ล้านบาท ส่วนสิ้นเดือนกันยายน ปี 2555 มีรายได้รวม 453 ล้านบาท มีกำไร 24 ล้านบาท มีนาฬิกาจัดจำหน่ายกว่า 20 แบรนด์ ทั้งชายและหญิงในกลุ่มแฟชั่นและลัส์ชัวรี เช่น Diesel, DKNY, Emporio Armani, Marc by Marc Jacobs, Burberry, Coach, Lacoste, Tommy Hilfiger, Victorinox Swiss Army, Fossil และ Kenneth Cole New York เป็นต้น โดยมีจุดขาย 103 แห่งครอบคลุมทั่วประเทศ
“เป็นไปได้ว่าอาจจะมีการผนึกกำลังกันทำตลาดทั้งส่วนของยีนส์แม็คและนาฬิกา และขายในช่องทางเดียวกันได้บ้างในชอปของแม็คยีนส์เองที่มีอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งคาดว่าเมื่อมีสินค้าธุรกิจใหม่เพิ่มเข้ามาในปีหน้ารายได้รวมคาดว่าจะเติบโตประมาณ 25%” นางสาวอรศิรีกล่าว
นางสาวสุณี เสรีภาณุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การลงทุนเชิงกลยุทธ์ในครั้งนี้ นอกเหนือจากจะเป็นการขยายธุรกิจของเราสู่ธุรกิจไลฟ์สไตล์อย่างเต็มตัวแล้ว ยังเกิดประโยชน์ด้าน Synergy ที่ลงตัวสำหรับทั้งสองฝ่าย จากเครือข่ายช่องทางการจัดจำหน่ายและคอนเนกชันในต่างจังหวัด รวมถึงห้างสรรพสินค้าในท้องถิ่น ระบบคลังสินค้าและเครือข่ายการกระจายสินค้า ระบบคอมพิวเตอร์ ณ จุดขาย โครงการการฝึกอบรมและพัฒนาทีมขาย และระบบการบัญชี อีกทั้งสามารถใช้จุดจำหน่ายของแม็คกรุ๊ปที่มีอยู่มาบริหารให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เป็นการเพิ่มรายได้และกำไรแก่ทั้ง 2 บริษัท รวมถึงตอบสนองความต้องการของลูกค้าและสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นได้อย่างดีที่สุด
นางสาวอรศิรี กล่าวต่อว่า ปีหน้าบริษัทฯ วางเป้าหมายที่จะเพิ่มชอปของแม็คยีนส์ให้ครบ 200 สาขา จากปัจจุบันมีประมาณ 140 กว่าแห่ง รวมทั้งจะขยายตลาดต่างประเทศให้มากขึ้นและเป็นรูปธรรมมากขึ้น จากปัจจุบันที่เริ่มมีการขยายตลาดไปแล้วที่ประเทศเมียนมาร์ด้วยการแต่งตั้งเอเยนต์คนท้องถิ่นเป็นผู้ทำตลาดให้ เริ่มมาประมาณ 3 เดือนแล้ว ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี ส่วนปีหน้าคาดว่าจะขยายต่อที่ประเทศมาเลเซีย กัมพูชา และเวียดนามด้วยวิธีแต่งตั้งเอเยนต์คนท้องถิ่นเช่นกัน
นางสาวอรศิรี กล่าวว่า ขณะที่ตลาดในประเทศยังรุกตลาดต่อเนื่อง ล่าสุดได้ลงทุน 20 ล้านบาทเพื่อทำตลาดและพัฒนาสินค้าซับแบรนด์ใหม่ชื่อ แม็ค มินิ จับกลุ่มเป้าหมายเด็กอายุ 6-12 ปี เริ่มที่เด็กผู้ชายก่อน ราคาเสื้อเฉลี่ย 490-1,090 บาท และกางเกงเฉลี่ย 1,500 บาท ส่วนแม็ค มินิ เด็กผู้หญิงจะวางตลาดไตรมาสสามปีหน้าเพื่อรุกตลาดเสื้อผ้าเด็กที่มีมูลค่าตลาดประมาณ 1,500 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 10% ต่อปี โดยตั้งเป้ารายได้ของแม็คมินิช่วง 3 ปีแรกไว้ที่ 100 ล้านบาท และจะมีแชร์ 40-50% ในตลาดเสื้อผ้าเด็กยีนส์ ขณะที่ปีหน้ามองไว้ที่ 30% ในตลาดเสื้อผ้าเด็กยีนส์
“ตอนนี้แม็คมินิมีวางขายในชอปของแม็คประมาณ 30 สาขาที่เป็นคอนเซ็ปต์แฟมิลีเบส และอีก 20 จุดขายเคาน์เตอร์ในห้าง ส่วนปีหน้าคาดว่าจะเพิ่มอีก 20 ชอปที่เป็นแฟมิลีเบสของแม็ค และจะใช้งบตลาด 3 ล้านบาท เน้นโซเชียลมีเดีย อีเวนต์มาร์เกตติ้ง โรดโชว์ ซึ่งในตลาดรวมมีเสื้อผ้าเด็กมาก แต่ที่เป็นยีนส์ด้วยกันมีน้อยราย หลักๆเช่น ลีคิดส์ แต่ราคาเราต่ำกว่าประมาณ 10-20%”
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าช่วงนี้กำลังซื้อผู้บริโภคจะลดลง แต่บริษัทฯ ไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด เนื่องจากมีซับแบรนด์หลายแบรนด์ทำตลาด มีหลายระดับราคาที่ผู้บริโภคสามารถเลือกได้ รวมทั้งการขยายชอปต่อเนื่อง ทำให้ยังคงมีรายได้เติบโตเช่นกัน คาดปีนี้รายได้รวม 3,000 ล้านบาท