“เอเวอร์เรส” เชียร์ลดภาษีนำเข้าลักชัวรี เร่งเครื่องนำเข้าสินค้าหรูทั้งนาฬิกาและแฟชั่นแบรนด์ เสริมทัพ คว้าไลเซนส์นาฬิกาโอกุสต์เรมงด์ และเครื่องหนังแบรนด์บอลลี่
นายปรมินทร์ ศรีชวาลา ประธานบริหาร บริษัท เอเวอร์เรส เวิลด์ จำกัด ผู้นำเข้าสินค้าแฟชั่นจากต่างประเทศในเครือฟิโกกรุ๊ป เปิดเผยว่า หากนโยบายการลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าลักชัวรี หรือสินค้าฟุ่มเฟือยของรัฐบาล ลดลงเหลือ 0-5% จากเดิมเก็บอัตรา 5-30% จริงได้เมื่อไหร่ เพราะหากสำเร็จถือเป็นผลดีต่อโครงสร้างราคาสินค้ากลุ่มนี้เพราะจะทำให้สินค้านำเข้าในไทยสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่านโยบายดังกล่าวจะยังอยู่ระหว่างการดำเนินการ แต่บริษัทก็ยังคงเดินหน้าขยายตลาดด้วยการนำแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดต่อเนื่องทั้งกลุ่มนาฬิกา และกลุ่มเสื้อผ้าแฟชันแบรนด์เนมต่างๆ
ล่าสุดปีนี้ได้รับลิขสิทธิ์นาฬิกาแบรนด์โอกุสต์ เรมงด์ จากสวิตเซอร์แลนด์ เข้ามาทำตลาด เป็นนาฬิกากลุ่มวินเทจสไตล์ย้อนยุค ราคา 18,000-170,000 บาท คาดว่าในช่วง 3 เดือนจากนี้จะสามารถจำหน่ายได้ 10 ล้านบาท และสิ้นปีหน้าจะจำหน่ายได้ 50 ล้านบาท ช่วงแรกจะเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะเครือเซ็นทรัลก่อนด้วยการเปิดจุดจำหน่ายเคาน์เตอร์นาฬิกาที่ห้างเซ็นทรัลและเปิดชอปที่เซ็นทรัลชิดลม ส่วนปีหน้าเปิดเคาน์เตอร์อีก 3 สาขา ปีถัดไปจึงจะขยายเข้าสู่เครือเดอะมอลล์
ปัจจุบันกลุ่มนาฬิกามีจำหน่ายหลายแบรนด์ แต่มีแบรนด์หลัก 2 แบรนด์ คือ แชร์ริโอลด์ และโอกุสต์ เรมงด์ ตั้งเป้ารายได้กลุ่มนาฬิกาปีนี้ 200 ล้านบาท ครึ่งปีแรกทำได้แล้ว 120 ล้านบาท และยังอยู่ระหว่างการเจรจานำเข้าอีก 2 แบรนด์ คาดว่าปีหน้าจะสรุป
นายลอเรนซ์ เอบิสเชอร์ ประธานบริหาร โอกุสต์ เรมงด์ สวิตเซอร์แลนด์ กล่าวว่า ประเทศไทยถือเป็นตลาดแรกในทวีปเอเชียที่แบรนด์โอกุสต์ เรมงด์ ขยายตลาดเข้ามาในเอเชีย และต่อไปจะเปิดตลาดที่ ไต้หวัน จีน ซึ่งไทยถือเป็นตลาดที่น่าสนใจ และมีการเติบโตที่ดี เป็นตลาดท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาจับจ่ายชอปปิ้งมากมาย
ส่วนไลเซนส์ใหม่ที่ได้อีกเป็นกลุ่มแฟชั่น คือ แบรนด์บอลลี่ เริ่มต้นวันที่ 1 มกราคมปีหน้า คาดว่าจะเปิดจุดจำหน่ายปีหน้าได้ 3 จุด เช่น เอมบาสซี่ เอ็มโพเรียม แต่ยังไม่สรุป ซึ่งถือเป็นแบรนด์ใหม่เข้ามาเสริมทัพกลุ่มแฟชั่น ที่ปัจจุบันมีอยู่แล้วเช่น แบรนด์ ลองชอมป์ มี 5 ชอป และแบรนด์แอคเน่อร์ มี 2 ชอป กลุ่มแฟชั่นทำรายได้ประมาณ 150 ล้านบาท
เขากล่าวว่า ปีนี้คาดว่าจะมีรายได้รวมประมาณ 350-400 ล้านบาท โดยใช้งบการตลาดประมาณ 7% จากยอดขาย ส่วนงบการลงทุนเปิดจุดจำหน่ายนั้น ขึ้นอยู่กับแต่ละทำเลและขนาดพื้นที่