- มูดีส์ อินเวสต์เตอร์ส เซอร์วิส ปรับเพิ่มมุมมองที่มีต่อระบบการธนาคารของเยอรมนีเป็นมีเสถียรภาพ จากเดิมที่อยู่ในเชิงลบมาตั้งแต่เดือนเม.ย. 2551 สะท้อนว่าภาคธนาคารเยอรมนีจะรับมือกับภาวะวิกฤตได้มากขึ้น หลังจากที่ขาดทุนลดลงและมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งขึ้น
- ส.สถิติแห่งชาติของเยอรมนี รายงานว่า ยอดส่งออกในเดือน ก.ค.หดตัวลง 1.1% ขณะที่ยอดนำเข้าขยายตัว 0.5% ซึ่งส่งผลให้ยอดเกินดุลการค้าหดตัวลงมาสู่ระดับ 1.45 หมื่นล้านยูโร
- ส.สถิติแห่งชาติฝรั่งเศส เปิดเผยว่า อัตราว่างงานขยับขึ้น 0.1% ในไตรมาส 2 ไปอยู่ที่ 10.5% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับแต่ปี 2540 และเพิ่มขึ้น 0.7% เมื่อเทียบรายปี
- ส.สถิติแห่งชาติอังกฤษ เปิดเผยว่า ยอดขาดดุลการค้าขยายตัวไปอยู่ที่ 3.1 พันล้านปอนด์ในเดือน ก.ค. จาก 1.3 พันล้านปอนด์ในเดือน มิ.ย. ทั้งนี้ ยอดส่งออกไปยังกลุ่มประเทศอียูซึ่งเป็นตลาดส่งออกรายใหญ่สุดของอังกฤษเพิ่มขึ้น 200 ล้านปอนด์ไปอยู่ที่ 1.3 หมื่นล้านปอนด์ ส่วนยอดนำเข้าในช่วง 3 เดือนสิ้นสุด ก.ค.พุ่งไปแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.042 แสนล้านปอนด์ บ่งชี้ถึงการฟื้นตัวที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจอังกฤษ
- บริษัทฮาลิแฟกซ์ เปิดเผยว่า ราคาบ้านในอังกฤษเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือน ส.ค.เมื่อเทียบกับเดือน ก.ค. ซึ่งนับเป็นการปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน ก่อให้เกิดความกังวลว่าอาจเกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์
- ก.แรงงานสหรัฐ เปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานประจำสัปดาห์ ณ 31 ส.ค.ลดลง 9,000 ราย มาอยู่ที่ 323,000 ราย ลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะลดลงมาอยู่ที่ 330,000 ราย จากสัปดาห์ก่อนหน้าที่เป็น 331,000 ราย ส่วนการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 169,000 ตำแหน่งในเดือน ส.ค. ต่ำกว่าของนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 180,000 ตำแหน่ง บ่งชี้ว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอาจจะชะลอตัวลงเล็กน้อยในไตรมาสที่ 3อย่างไรก็ดี อัตราว่างงานได้ชะลอตัวลงมาอยู่ที่ 7.3% ในเดือน ส.ค. ซึ่งลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปีครึ่ง
- ก.แรงงานสหรัฐ รายงานว่า ประสิทธิภาพการผลิตของแรงงานนอกภาคเกษตรในช่วงไตรมาส 2 ขยายตัว 2.3% หลังจากลดลง 1.7% ต่อปีในไตรมาสแรก โดยประสิทธิภาพการผลิตที่เพิ่มขึ้นสะท้อนถึงผลผลิตที่ปรับตัวขึ้น 3.7% และชั่วโมงทำงานที่เพิ่มขึ้น 1.4% ในไตรมาส 2
- สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการเดือน ส.ค. ขยายตัวขึ้นสู่ ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค. 2551 โดยขึ้นเป็น 58.6 จากเดือน ก.ค. ที่เป็น 56.0 ทั้งนี้ภาคบริการมีสัดส่วนในการจ้างงานในสหรัฐสูงถึง 90% บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจโดยรวมภายในประเทศเริ่มแข็งแรงขึ้น
- ก.พาณิชย์สหรัฐ เปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานในเดือน ก.ค. หดตัวลง 2.4% หรือลดลง 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ มาอยู่ที่ 4.85 แสนล้านดอลลาร์ หลังจากที่เพิ่มขึ้น 1.6% ในเดือน มิ.ย.เป็นการปรับตัวลงหลังจากที่เพิ่มขึ้น 3 เดือนติดต่อกัน
- รายงานผลการสำรวจของ ออสเตรเลียน อินดัสตรี กรุ๊ป ระบุว่า ดัชนีอุตสาหกรรมการก่อสร้างของออสเตรเลียลดลงแตะ 43.7 ในเดือน ส.ค. หรือลดลง 0.4% จากเดือน ก.ค. บ่งบอกว่าอุตสาหกรรมก่อสร้างของออสเตรเลียยังอยู่ในภาวะเปราะบาง โดยดัชนีกิจกรรมการก่อสร้างยังคงอยู่ในแดนลบเป็นเดือนที่ 39 ติดต่อกัน
- โทนี แอ็บบอตต์ ผู้นำฝ่ายค้านออสเตรเลียจากพรรคลิเบอรัล คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งทั่ว ไป โดยได้ชัยชนะรัฐบาลที่นำโดยพรรคเลเบอร์ซึ่งครองอำนาจมานาน 6 ปีของนายกรัฐมนตรีเควิน รัดด์ และกวาดเก้าอี้ในสภาไปได้ทั้งหมด 88 ที่นั่ง ในขณะที่พรรคเลเบอร์ฝ่ายรัฐบาลได้ไป 56 ที่นั่ง
- ส.สถิติแห่งชาติจีน รายงานว่า มูลค่าการส่งออกของจีนเดือน ส.ค. เพิ่มขึ้น 7.2% เมื่อเทียบรายปี ขณะที่การนำเข้าเพิ่มขึ้น 7% เป็นผลให้จีนเกินดุลการค้า 2.86 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
- เกาหลีใต้ห้ามนำเข้าผลิตภัณฑ์ด้านการประมงจาก 8 จังหวัดของญี่ปุ่น ได้แก่ ฟูกูชิมะ อาโอโมริ อิบารากิ กันมะ มิยากิ อิวาเตะ โตชิกิ และ ชิบะ โดยผลิตภัณฑ์การประมงทั้งหมดจากพื้นที่ต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากกัมมันตรังสีในญี่ปุ่นถูกสั่งห้ามนำเข้ามายังเกาหลีใต้ อันเนื่องมาจากความเสี่ยงด้านการปนเปื้อนกัมมันตรังสี
- ก.คลังญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ ณ สิ้น ส.ค. พุ่งขึ้น 171 ล้านดอลลาร์ ไปแตะ 1.25 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อเทียบกับเดือนก่อน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้น 2 เดือนติดกันจากการเพิ่ม ขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยพันธบัตรที่รัฐบาลญี่ปุ่นถือครองอยู่ เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และจากราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้นจากเดือนก่อน
- ก.การค้าและอุตสาหกรรมระหว่างประเทศของมาเลเซีย เปิดเผยว่า การส่งออกในเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้น 4.5% เมื่อเทียบรายปีไปอยู่ที่ 6.073 หมื่นล้านริงกิต ซึ่งนับเป็นเดือนที่ส่งออกมากที่สุดของปีนี้ โดยส่วนใหญ่เป็นการส่งออกเพิ่มขึ้นไปยังจีน อินโดนีเซีย ญี่ปุ่นและไทย
- อารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัด ก.คลัง เปิดเผยว่า กำลังหารือในรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการลดภาษีศุลกากรนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยเพื่อให้ไทยเป็น "ช๊อปปิ้งพาราไดซ์" เทียบชั้นสิงคโปร์และฮ่องกง โดยจะปรับลดภาษีเป็น 0% ให้สินค้าประเภทน้ำหอม เครื่องสำอาง และกลุ่มแบรนด์เนมทั้งนาฬิกาและเสื้อผ้าซึ่งปัจจุบันถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้า 30% ขณะที่สิงคโปร์และฮ่องกงไม่เก็บภาษี ซึ่งคาดว่ามาตรการนี้จะช่วยดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศและจับจ่ายเพิ่มมากขึ้น กับช่วยดึงเงินของเศรษฐีไทยไม่ให้ไหลออกนอกประเทศ โดยจะเป็นมาตรการถาวรที่ให้ทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนไทย ซึ่งคาดจะมีผลบังคับใช้ปีนี้เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจกับชดเชยการส่งออกที่หดตัว
นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการค้าตามแนวชายแดนโดยให้คนไทยและต่างชาติถือครองเงินสดรูปเงินบาทมากกว่าเดิมที่เป็น 500,000 บาท เพื่อกระตุ้นการค้าและการท่องเที่ยว รวมถึงมีแผนการบริโภคภาครัฐผ่านโครงการต่างๆ วงเงินกว่า 8.8 แสนล้านบาท พร้อมกับมีมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณกับเร่งรัดการลงทุน
ทั้งนี้ ปลัด ก.คลัง เชื่อมั่นว่ามาตรการทั้งหมดจะช่วยผลักดันเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังและจะทำให้ GDP ขยายตัวได้ร้อยละ 4 ในปีนี้
- SET Index ปิดที่ 1,336.25 จุด เพิ่มขึ้น 22.76 จุด หรือ 1.73% ด้วยมูลค่าซื้อขาย31,665.56 ล้านบาท โดยดัชนีเคลื่อนไหวในแดนบวกตลอดทั้งวันและไปแตะจุดสูงสุที่ 1,337.03 จุด ในขณะที่ต่ำสุดของวันอยู่ที่ 1,312.92 จุด ทั้งนี้ ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นตามตลาดอื่นในภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่ โดยมีปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ฟื้นตัวขึ้น และซื้อในกลุ่มหุ้นพลังงานที่ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มสูงขึ้นเพราะความกังวลเรื่องสหรัฐจะเข้าโจมตีซีเรีย
สรุปยอดสุทธิการซื้อขายของแต่ละกลุ่ม
- มติจากที่ประชุมคณะกรรมการบริหารของ PTT
- ให้ บวร วงศ์สินอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ PTTGC ขึ้นเป็น CEO แทน อนนต์ สิริแสงทักษิณ ที่เกษียณอายุ เนื่องจากจัดการปัญหาน้ำมันดิบรั่วไหลลงทะเลที่ระยองได้น่าพอใจ
- ให้ อธิคม เติบศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่ IRPC ไปเป็นรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นของ PTT
- ให้ สุกฤตย์ สุรบถโสภณ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นของ PTT มาดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ของ IRPC
- ให้ ณัฐชาติ จารุจินดา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย ไปเป็นประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ แทน วิชัย พรกีรติวัฒน์ ที่จะเกษียณในวันที่ 30 ก.ย.นี้
- ให้ สรัญ รังคสิริ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจน้ำมันของ PTT ย้ายไปเป็นประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย
ทั้งนี้ ไพรินทร์ ชูโชติถาวร CEO และกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTT เปิดเผยว่า จุลสิงห์ วสันตสิงห์กรรมการอิสระและประธานกรรมการตรวจสอบ ได้แจ้งลาออกจากตำแหน่งกรรมการเนื่องจากมีภารกิจอื่นโดยคณะกรรมการ ปตท. ได้มีมติแต่งตั้งนายอรรถพล ใหญ่สว่าง เป็นกรรมการอิสระแทน และให้มีผลตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2556 เป็นต้นไป
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเปลี่ยนแปลงในช่วง -0.02% ถึง +0.02% มีมูลค่าการซื้อขายรวม 70,719 ล้านบาท
- ศูนย์วิจัยทองคำ เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำเดือน ก.ย. เพิ่มขึ้น 19.94% จากเดือนก่อน สะท้อนถึงทัศนคติต่อราคาทองคำในเชิงบวก โดยมีประเด็นเรื่องการชะลอมาตรการ QE ของธนาคารกลางสหรัฐ และความผันผวนของค่าเงินบาทเป็นประเด็นสำคัญ ทั้งนี้ ยังต้องติดตามภาวะเศรษฐกิจของยุโรปและประเด็นซีเรียที่เชื่อว่าจะกระทบราคาทองคำด้วย
- Marc Faber “ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ต่อราคาน้ำมันและทองคำจะมีมากกว่าสินทรัพย์ทางการเงิน (หุ้น / พันธบัตร) แต่การที่ทองคำปรับขึ้นแรงจาก $1180 เป็น $1400 แล้ว จึงอาจมีแรงขายทำกำไรช่วงสั้นๆ ส่วนราคาน้ำมันที่ขึ้นมาแล้วก็อาจจะพุ่งขึ้นไปอีกได้หากความเกลียดชังเพิ่มมากขึ้น อย่าลืมว่าซีเรียเป็นมิตรกับอิหร่าน ดังนั้น หากใครทำร้ายซีเรีย อิหร่านก็มองได้ว่าเป็นการโจมตีอิหร่านเช่นกัน และอาจโจมตีกลับ”