“รพ.วิภาวดี” รุกกอล์ฟ-ท่องเที่ยว ตั้งเอเยนซีส่งต่อผู้ป่วยรับเออีซี

“รพ.วิภาวดี” รุกสนามกอล์ฟควบโฮมสเตย์ ระดมทุน 3 พันล้านเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ใหม่ พัฒนาสนามกอล์ฟและธุรกิจเสริมในรูปแบบสปา โฮมสเตย์ และโรงแรม เตรียมเปิดตัวในกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ในปี 57 เมินลงทุนต่างชาติรับเออีซี งัดกลยุทธ์หาเอเยนซีส่งต่อผู้ป่วยเข้าโรงพยาบาลโดยตรง

นายแพทย์ชัยสิทธิ์ คุปต์วิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท โรงพยาบาลวิภาวดี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจของโรงพยาบาลวิภาวดีในปี 2557 ว่า ในปี 2556 บริษัทและโรงพยาบาลในเครือมีการใช้เงินลงทุนทั้งหมดเป็นจำนวนเงินประมาณ 3 พันล้านบาท โดยตลอดเวลาที่ผ่านมาโรงพยาบาลวิภาวดีมีอัตราการเติบโตทางด้านรายได้ประมาณ 7% ติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี ล่าสุดในปี 2555 มีรายได้ประมาณ 1.5 พันล้านบาท แต่หากรวมรายได้ทั้งหมดภายในเครือมีประมาณ 3 พันล้านบาท โดยคาดว่าในปี 2556 อัตราการเติบโตจะเพิ่มขึ้นเป็น 10%

สำหรับการลงทุนภายใต้งบประมาณดังกล่าวเป็นการระดมทุนร่วมกับโรงพยาบาลวิภารามและโรงพยาบาลในเครือเพื่อสร้างรายได้เพิ่มด้วยการเข้าสู่ธุรกิจโรงแรมและท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในลักษณะการบริหารจัดการสนามกอล์ฟ ซึ่งภายในจะมีธุรกิจเสริมอื่นๆ รองรับ เช่น สปา โฮมสเตย์ รีสอร์ต และโรงแรมควบคู่ไปด้วย โดยขณะนี้ได้เริ่มก่อสร้างและปรับสภาพแล้วในกรุงเทพฯ ด้วยงบลงทุนประมาณ 700-1 พันล้านบาท

นอกจากนี้ยังมีการก่อสร้างใน จ.เชียงใหม่ด้วยงบลงทุนประมาณ 1 พันล้านบาท โดยคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ภายในปี 2557 ขณะเดียวกันยังมีการก่อสร้างโรงพยาบาลแห่งใหม่ขนาด 150 เตียงเพิ่มขึ้นอีก 2 แห่งด้วยงบลงทุนแห่งละประมาณ 600-700 ล้านบาท ส่วนสถานที่ตั้งแห่งแรกอยู่ภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ.ชลบุรี โดยคาดว่าจะใช้ชื่อโรงพยาบาลวิภาราม อมตะนคร

ส่วนอีกหนึ่งแห่งเป็นการก่อสร้างภายในนิคมอุตสาหกรรมสมุทรสาคร แต่ยังไม่มีการสรุปเรื่องการใช้ชื่อโรงพยาบาล โดยคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ภายในปี 2557 เช่นกัน

“แนวทางหนึ่งที่จะเป็นการพัฒนาธุรกิจโรงพยาบาลไทยให้เป็นที่ยอมรับของนานาชาติคือ ควรมีหน่วยงานกลางที่ทำงานอย่างอิสระเพื่อวัดระดับคุณภาพและมาตรฐาน หรือเรตติ้งของโรงพยาบาลแต่ละแห่งเหมือนประเทศต่างๆ ทั้งในยุโรป และสหรัฐอเมริกา เพราะหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลคือการสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนมีความมั่นใจว่าจะได้รับการรักษาและบริการที่ดี ในขณะเดียวกันโรงพยาบาลแต่ละแห่งจำเป็นต้องมีเทคโนโลยีชั้นสูงที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพในการตรวจรักษา ซึ่งต้องถือว่าตลอดระยะเวลาการดำเนินงานของโรงพยาบาลวิภาวดีเป็นเวลากว่า 27 ปีได้รับความเชื่อมั่นเป็นอย่างดีจากประชาชนทั่วไป” นายแพทย์ชัยสิทธิ์กล่าว

พร้อมยังให้ความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับการขยายธุรกิจเพื่อรองรับการเปิดเขตประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี 2558 ว่า ในความเป็นจริงแล้วระบบการแพทย์ไทยทั้งด้านบุคลากรและเทคโนโลยี ตลอดจนอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ถือได้ว่ามีประสิทธิภาพและทันสมัยมากที่สุดอยู่แล้ว อีกทั้งนับตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นไปประชากรทั้ง 10 ประเทศก็สามารถเดินทางเข้าออกระหว่างกันได้อย่างเสรี โรงพยาบาลจึงยังไม่มีแผนการลงทุนเพิ่มในประเทศใด แต่จะดำเนินงานในลักษณะการจัดหาเอเยนซีในแต่ละประเทศเพื่อนำผู้ป่วยส่งต่อมายังโรงพยาบาลวิภาวดี กรุงเทพฯ โดยขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการแล้วที่ประเทศพม่า จากนั้นจึงจะมีการพิจารณาอีกครั้งว่าจะเปิดดำเนินงานในประเทศใดเป็นลำดับต่อไป