xs
xsm
sm
md
lg

กลต.สหรัฐเล็งสอบธนาคารประกอบธุรกิจโภคภัณฑ์ หวั่นทำอินไซด์เทรดดิ้ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

        ธนาคารในย่านวอลล์สตรีทอาจจะถูกเพ่งเล็งมากยิ่งขึ้นในด้านการประกอบธุรกิจสินค้าโภคภัณฑ์ ในขณะที่ผู้ควบคุมกฎระเบียบของสหรัฐ และสมาชิกสภาคองเกรสผลักดันให้มีการตรวจสอบบทบาทของธนาคารสหรัฐในการถือครองคลังสินค้า และในการขายน้ำมัน, โลหะ และสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ
        สมาชิกสภาคองเกรสพยายามกดดันผู้ควบคุมกฎระเบียบให้อธิบายว่าเพราะเหตุใดธนาคารอย่างเช่นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค และโกลด์แมน แซคส์ จึงได้รับอนุญาตให้ถือครองคลังสินค้า และได้รับอนุญาตให้ซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดส่งมอบปัจจุบัน ส่งผลให้ผู้ควบคุมกฎระเบียบจึงพยายามแสดงให้เห็นว่า กำลังมีการแก้ไขปัญหานี้อยู่
        เมื่อวานนี้นางแมรี โจ ไวท์ ประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ของสหรัฐกล่าวเป็นครั้งแรกว่า ก.ล.ต.สหรัฐกำลังพิจารณาประเด็นการซื้อขายโดยใช้ข้อมูลภายใน ซึ่งเป็นประเด็นที่ไม่เคยนำมาใช้พิจารณาอย่างเป็นทางการกับตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ในวงกว้าง
        นางเด็บบี สเตบนาว สมาชิกสภาคองเกรสรายหนึ่งเรียกร้องให้คณะกรรมการการค้าสัญญาล่วงหน้าสินค้าโภคภัณฑ์ (CFTC) อธิบายว่า CFTC มีอำนาจกำกับดูแลอย่างไรเหนือคลังโลหะที่อยู่ในเครือข่ายของตลาดโลหะลอนดอน  (LME) โดยปัจจุบันนี้คลังโลหะจำนวนมากเป็นกรรมสิทธิ์ของเทรดเดอร์และธนาคารขนาดใหญ่ ขณะที่ผู้ใช้โลหะบางรายได้ให้การต่อคณะกรรมาธิการในวุฒิสภาสหรัฐในสัปดาห์ที่แล้วว่า เจ้าของคลังสินค้าทำให้ต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น โดยใช้วิธีจัดส่งโลหะอย่างล่าช้า
        สหรัฐเริ่มเพ่งเล็งแผนกสินค้าโภคภัณฑ์ของธนาคารต่างๆนับตั้งแต่ปี 2012 แต่ได้เพิ่มความเข้มงวดมากยิ่งขึ้นในเดือนก.ค. และอาจส่งผลให้ธนาคารหลายแห่งจำเป็นต้องแยกแผนกสินค้าโภคภัณฑ์ออกไป หรือปิดแผนกสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์
        เจพีมอร์แกนออกมาเคลื่อนไหวในด้านนี้ในสัปดาห์ที่แล้ว โดยระบุว่าทางบริษัทจะยุติการซื้อขายในตลาดส่งมอบปัจจุบัน ขณะที่เจพีมอร์แกนได้จ่ายเงิน 410 ล้านดอลลาร์เมื่อวานนี้เพื่อรอมชอมคดีกับหน่วยงานควบคุมกฎระเบียบไฟฟ้าของสหรัฐในข้อหาปั่นตลาดไฟฟ้า
        นายเชอร์รอด บราวน์ วุฒิสมาชิกพรรคเดโมแครต ได้ตั้งคำถามต่อผู้ควบคุมกฎระเบียบซึ่งรวมถึงนางไวท์ว่า ธนาคารควรจะได้รับอนุญาตให้ถือครองเรือขนส่งน้ำมันและคลังโลหะหรือไม่ ถ้าหากธนาคารดังกล่าวซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องด้วย
        นางไวท์ได้กล่าวต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาสหรัฐว่า "เมื่อดิฉันได้รับทราบประเด็นนี้เมื่อเร็วๆนี้ ดิฉันก็ได้ขอให้ทางเจ้าหน้าที่ศึกษาปัญหานี้"        
        สหภาพยุโรป (อียู) ตกลงที่จะปฏิรูปกฎหมายการปั่นตลาด เพื่อบรรจุ กฎเกณฑ์ที่เข้มงวดยิ่งขึ้นสำหรับการค้าสินค้าโภคภัณฑ์ และบทลงโทษที่รุนแรงยิ่งขึ้นสำหรับการซื้อขายโดยใช้ข้อมูลภายใน ซึ่งจะส่งผลให้กฎหมายของอียูสามารถครอบคลุมการกระทำผิด เช่น การปั่นเครื่องมือที่เป็นเกณฑ์อ้างอิงในตลาด ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคาร ณ ตลาดลอนดอน (Libor) ได้เป็นครั้งแรก โดยกฎหมายฉบับใหม่นี้อาจจะมีผลบังคับใช้ในเดือนพ.ย.
        ธนาคารหลายแห่งได้รับแรงกดดันมากยิ่งขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาหลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สร้างความประหลาดใจให้แก่ภาคธนาคารด้วยการประกาศว่า เฟดกำลัง "ทบทวน" การตัดสินใจในปี 2003 ที่อนุญาต ให้ธนาคารพาณิชย์สามารถซื้อขายในตลาดส่งมอบปัจจุบัน
        แหล่งข่าวกล่าวว่า มีการสอบสวนประเด็นนี้นับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2012 โดยในช่วงนั้นคณะอนุกรรมาธิการถาวรด้านการสอบสวนในวุฒิสภาได้ตั้งคำถามต่อธนาคารขนาดใหญ่บางแห่งเกี่ยวกับธุรกิจสินค้าโภคภัณฑ์
        นายคาร์ล เลวิน ประธานคณะอนุกรรมาธิการถาวรด้านการสอบสวน กล่าวว่า เขามีความกังวลเป็นอย่างมากต่อการที่ธนาคารพาณิชย์มีส่วนเกี่ยวข้องในการค้าสินค้าโภคภัณฑ์ และกล่าวเสริมว่า "มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดการทับซ้อนของผลประโยชน์ และผมคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดการเก็งกำไร ซึ่งเป็นสิ่งที่ธนาคารไม่สมควรเข้าไปเกี่ยวข้อง"
        สถานการณ์ตึงเครียดยิ่งขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อกลุ่มผู้ซื้ออะลูมิเนียมรายใหญ่ได้แจ้งต่อวุฒิสมาชิกว่า การที่ธนาคารพาณิชย์มีอำนาจควบคุมคลังโลหะ ส่งผลให้ต้นทุนของบริษัทผู้ผลิตเบียร์พุ่งขึ้น 3 พันล้านดอลลาร์ ในปีที่แล้ว โดยบริษัทมิลเลอร์คอร์ส ซึ่งเป็นผู้ผลิตเบียร์รายใหญ่อันดับสองของสหรัฐ เป็นตัวแทนของกลุ่มผู้ซื้ออะลูมิเนียมกลุ่มนี้
        เจพี มอร์แกนได้ประกาศในอีกไม่กี่วันต่อมาว่า ทางบริษัทกำลังจะยุติการค้าสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดส่งมอบปัจจุบัน เนื่องจากผลกำไรอยู่ในระดับที่ต่ำเกินไปเมื่อเทียบกับความเสี่ยงและต้นทุนในการรับมือกับผู้ควบคุมกฎระเบียบในประเทศต่างๆ
        สิ่งนี้สวนทางกับจุดยืนของเจพี มอร์แกนเมื่อหลายปีก่อน โดยทางบริษัทได้รุกเข้ามาลงทุนในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์อย่างจริงจังนับตั้งแต่ปี 2008 เมื่อเจพี มอร์แกนเข้าซื้อบริษัทแบร์ สเติร์นส์ในช่วงที่เกิดวิกฤติการเงินและได้เข้าถือครองสินทรัพย์ที่เกี่ยวกับไฟฟ้าเป็นจำนวนมากต่อจากแบร์ สเติร์นส์
        ความเคลื่อนไหวล่าสุดของเจพี มอร์แกนสะท้อนให้เห็นถึงความกังวลในวงกว้างในการประกอบธุรกิจการธนาคารและการค้าสินค้าโภคภัณฑ์ ภายใต้บริษัทเดียวกัน ในขณะที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐและ CFTC เริ่มต้นสอบสวนประเด็นโกดังโลหะ
        นางเด็บบี สเตบนาว ประธานคณะกรรมาธิการการเกษตรประจำวุฒิสภา ได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในประเด็นนี้ด้วย โดยคณะกรรมาธิการชุดนี้กำกับดูแล CFTC และนางสเตบนาวได้เขียนจดหมายไปถึงนายแกรี เจนส์เลอร์ ประธาน CFTC โดยระบุว่า "ดิฉันเขียนจดหมายนี้เพื่อกระตุ้นให้คุณตรวจ สอบประเด็นนี้ต่อไป และให้คุณชี้แจงเรื่องบทบาทและความรับผิดชอบของ CFTC"
        ทางด้านนายเจนส์เลอร์กล่าวเมื่อวานนี้ว่า ถึงแม้ CFTC ไม่มีอำนาจโดยตรงในการกำกับดูแลตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ส่งมอบปัจจุบัน แต่ CFTCก็มีอำนาจอย่างชัดเจนในการสอดส่องดูแลการฉ้อโกง, การปั่นตลาด และ การกระทำผิดอื่นๆในตราสารอนุพันธ์
        ทั้งนี้ กฎหมายสำหรับการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์โดยใช้ข้อมูลภายใน เป็นกฎหมายที่มีความเข้มงวดน้อยกว่ากฎหมายประเภทเดียวกันในตลาดหลักทรัพย์เป็นอย่างมาก และประเด็นนี้มักไม่ค่อยสร้างความกังวลในอดีต เนื่องจากการค้าสินค้าโภคภัณฑ์มีลักษณะกระจัดกระจาย
        นายริค เฟลท์ นักวิเคราะห์ของบริษัทอาร์เจ โอ'เบรียนกล่าวว่า "มักจะไม่ค่อยมีการออกกฎในเรื่องนี้ เนื่องจากข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์เป็นข้อมูลที่หลากหลายมาก ดังนั้นหลายคนจึงมองว่ากฎประเภทนี้เป็นกฎที่ไม่สามารถใช้งานได้จริงกับตลาดสินค้าโภคภัณฑ์"
(ข่าวจากสำนักข่าว รอยเตอร์)
 
T.Thammasak
กำลังโหลดความคิดเห็น