แมงเม้าท์เล่าอินไซด์มาแล้วจร้า หลังจากร่วงลงติดต่อกันมาหลายวันในที่สุด ตลาดหุ้นไทยก็กลับมาวิ่งทะลุ 1440 จุดอีกรอบ หลังจากที่ร่วงลงไปแตะในระดับ 1380 จุด โดยมีแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อช่วง 3 วันสุดท้ายของสัปดาห์มูลค่ากว่า 6,700 ล้านบาท และยอดรวมทั้งปี ต่างชาติขายสุทธิลดลง เหลือ 76,000 ล้านบาท จากสัปดาห์ก่อนหน้ามียอดขายสุทธิกว่า 86,000 ล้านบาท หลังคลายความกังวลจากคำพูดของ นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ ที่บอกว่ายังต้องใช้มาตรการกระตุ้นต่อไป โดยดัชนีปิดตลาดวันศุกร์ (12 ก.ค.) ที่ผ่านมา จะอยู่ที่ 1,453.71 จุด เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 0.86% และมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้น 6% มาอยู่ที่ 46,653 ล้านบาท
ท่ามกลางการทะยานเพิ่มขึ้นของดัชนีหุ้นสหรัฐ ที่ขึ้นมาปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ และเป็นการปรับตัวขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน โดยดาวโจนส์และ S&P 500 ทำสถิติเป็นสัปดาห์ที่ดีที่สุดอันดับ 2 ของปีนี้ เมื่อดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 2.2% และ S&P 500 บวก 3.0% ขณะที่ Nasdaq พุ่งขึ้น 3.5% เพราะได้แรงหนุนจากรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งของสองธนาคารยักษ์ใหญ่อย่าง เจ.พี. มอร์แกน และ เวลส์ ฟาร์โก
ศุกร์ที่ผ่านมา (12 ก.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ขยับขึ้น 3.38 จุด หรือ 0.02% ปิดที่ 15,464.30 จุด ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 5.17 จุด หรือ 0.31% ปิดที่ 1,680.19 จุด ดัชนี Nasdaq บวก 21.78 จุด หรือ 0.61% ปิดที่ 3,600.08 จุด
ซึ่งถ้าดูดาวน์โจนส์ จะชัดมาก ว่าจะดึงทั่วโลก ขึ้นไปได้ด้วย แต่ก็อย่าพึ่งลำพองใจ เพราะไทยเองไม่ได้นิวไฮกับเขาด้วย เป็นการปรับตัวขึ้นมารีบาวด์ ที่เกิดจากการร่วงหนักของช่วงต้นสัปดาห์ ง่ายๆ คือยังไม่แกร่งมากนัก แต่ก็น่าลุ้น ว่ากันว่าปราการด่านใหญ่ของ SET นั้นคือ แนวต้าน 1550 จุด
ฉะนั้นหากใครถือหุ้นอยู่ก็เล่นตามเกมกันไป ขยับแนวขาย เมื่อหุ้นขึ้นนะจ๊ะ 1440 ถ้าไม่หลุดก็น่าสน และกลุ่มที่น่ารักน่าลุ้นยังอยู่ในกลุ่มพลังงาน เพราะBrent ก่อตัวสร้างฐานชัดเจนมากว่า ถึงคราวพลังงาน ส่วนจันทร์นี้ติดตามการรายงานจีดีพีไตรมาส 2 ปีนี้ของจีน รวมทั้งการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ ยอดค้าปลีก ดัชนีราคาผู้บริโภค ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม และเครื่องชี้ภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมไปถึงผลประกอบการกลุ่มแบงก์
นายธีรวุฒิ การนต์นิภากุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ซีไอเอ็มบี(ประเทศไทย ประเมิน แนวโน้มตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ ต้องติดตามปัจจัยแรงซื้อและแรงขายจากต่างชาติ หากต่างชาติกลับเข้ามาซื้ออีกรอบก็ส่งแรงหนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นต่อได้ แต่ถ้ามี sell on fact เกิดขึ้นก็จะส่งผลให้ดัชนีปรับตัวลงในช่วงกลางสัปดาห์ นอกจากนี้ ยังต้องติดตามการประกาศผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 2/56 โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะมีผลต่อการเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มแบงก์ และติดตามการประกาศตัวเลข GDP ของจีนในสัปดาห์หน้า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นในเอเชีย ให้แนวต้าน 1,460 จุด แนวรับ 1,446-1,1420 จุด
ส่วนนายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซียไซรัส คาดว่า ดัชนีฯ จะแกว่งตัวในแดนบวก เนื่องจากตลาดจะยังคงตอบรับมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณของสหรัฐฯ (QE) ที่จะไม่ชะลอหรือยุติในเร็วๆ นี้ เพราะภาพรวมเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังคงชะลอตัว ซึ่งจะส่งผลให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยได้
นอกจากนี้ แรงเก็งกำไรผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทย งวดไตรมาส 2/56 โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มภาคเศรษฐกิจจริง (Real Sector) จะเป็นกลุ่มที่ผลักดันตลาดได้ ส่วนปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตาม คือ การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของจีน อาทิ การรายงานผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของจีนในไตรมาส 2/2556 และผลผลิตภาคอุตสาหกรรมนับแต่ต้นปีถึงเดือนมิถุนายน ในวันที่ 15 กรกฏาคมนี้
ด้านกลยุทธ์การลงทุน แนะนำนักลงทุนระยะกลางและยาวเน้นถือ ส่วนนักลงทุนระยะสั้น ควรเก็งกำไร รอซื้อหุ้นที่ราคาอ่อนตัวลง ประเมินแนวรับแรกไว้ที่ 1,440 จุด แนวรับถัดไปไว้ที่ 1,435 จุด แนวต้านแรก 1,480 จุด แนวต้านถัดไป 1,500 จุด
ท่ามกลางการทะยานเพิ่มขึ้นของดัชนีหุ้นสหรัฐ ที่ขึ้นมาปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ และเป็นการปรับตัวขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน โดยดาวโจนส์และ S&P 500 ทำสถิติเป็นสัปดาห์ที่ดีที่สุดอันดับ 2 ของปีนี้ เมื่อดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 2.2% และ S&P 500 บวก 3.0% ขณะที่ Nasdaq พุ่งขึ้น 3.5% เพราะได้แรงหนุนจากรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งของสองธนาคารยักษ์ใหญ่อย่าง เจ.พี. มอร์แกน และ เวลส์ ฟาร์โก
ศุกร์ที่ผ่านมา (12 ก.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ขยับขึ้น 3.38 จุด หรือ 0.02% ปิดที่ 15,464.30 จุด ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 5.17 จุด หรือ 0.31% ปิดที่ 1,680.19 จุด ดัชนี Nasdaq บวก 21.78 จุด หรือ 0.61% ปิดที่ 3,600.08 จุด
ซึ่งถ้าดูดาวน์โจนส์ จะชัดมาก ว่าจะดึงทั่วโลก ขึ้นไปได้ด้วย แต่ก็อย่าพึ่งลำพองใจ เพราะไทยเองไม่ได้นิวไฮกับเขาด้วย เป็นการปรับตัวขึ้นมารีบาวด์ ที่เกิดจากการร่วงหนักของช่วงต้นสัปดาห์ ง่ายๆ คือยังไม่แกร่งมากนัก แต่ก็น่าลุ้น ว่ากันว่าปราการด่านใหญ่ของ SET นั้นคือ แนวต้าน 1550 จุด
ฉะนั้นหากใครถือหุ้นอยู่ก็เล่นตามเกมกันไป ขยับแนวขาย เมื่อหุ้นขึ้นนะจ๊ะ 1440 ถ้าไม่หลุดก็น่าสน และกลุ่มที่น่ารักน่าลุ้นยังอยู่ในกลุ่มพลังงาน เพราะBrent ก่อตัวสร้างฐานชัดเจนมากว่า ถึงคราวพลังงาน ส่วนจันทร์นี้ติดตามการรายงานจีดีพีไตรมาส 2 ปีนี้ของจีน รวมทั้งการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ ยอดค้าปลีก ดัชนีราคาผู้บริโภค ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม และเครื่องชี้ภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมไปถึงผลประกอบการกลุ่มแบงก์
นายธีรวุฒิ การนต์นิภากุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ซีไอเอ็มบี(ประเทศไทย ประเมิน แนวโน้มตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ ต้องติดตามปัจจัยแรงซื้อและแรงขายจากต่างชาติ หากต่างชาติกลับเข้ามาซื้ออีกรอบก็ส่งแรงหนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นต่อได้ แต่ถ้ามี sell on fact เกิดขึ้นก็จะส่งผลให้ดัชนีปรับตัวลงในช่วงกลางสัปดาห์ นอกจากนี้ ยังต้องติดตามการประกาศผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 2/56 โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะมีผลต่อการเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มแบงก์ และติดตามการประกาศตัวเลข GDP ของจีนในสัปดาห์หน้า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นในเอเชีย ให้แนวต้าน 1,460 จุด แนวรับ 1,446-1,1420 จุด
ส่วนนายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซียไซรัส คาดว่า ดัชนีฯ จะแกว่งตัวในแดนบวก เนื่องจากตลาดจะยังคงตอบรับมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณของสหรัฐฯ (QE) ที่จะไม่ชะลอหรือยุติในเร็วๆ นี้ เพราะภาพรวมเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังคงชะลอตัว ซึ่งจะส่งผลให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยได้
นอกจากนี้ แรงเก็งกำไรผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทย งวดไตรมาส 2/56 โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มภาคเศรษฐกิจจริง (Real Sector) จะเป็นกลุ่มที่ผลักดันตลาดได้ ส่วนปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตาม คือ การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของจีน อาทิ การรายงานผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของจีนในไตรมาส 2/2556 และผลผลิตภาคอุตสาหกรรมนับแต่ต้นปีถึงเดือนมิถุนายน ในวันที่ 15 กรกฏาคมนี้
ด้านกลยุทธ์การลงทุน แนะนำนักลงทุนระยะกลางและยาวเน้นถือ ส่วนนักลงทุนระยะสั้น ควรเก็งกำไร รอซื้อหุ้นที่ราคาอ่อนตัวลง ประเมินแนวรับแรกไว้ที่ 1,440 จุด แนวรับถัดไปไว้ที่ 1,435 จุด แนวต้านแรก 1,480 จุด แนวต้านถัดไป 1,500 จุด