“พงษ์ศักดิ์” ส่งสัญญาณถึงประธานบอร์ด ปตท.คนใหม่ที่คาดว่าจะเป็น “ปานปรีย์ พหิทธานุกร” ให้เร่งขยายปั๊มเอ็นจีวี และแยกท่อก๊าซมาตั้งเป็นบริษัทลูกเพื่อความโปร่งใส ฉุนสั่งไปตั้งแต่รับตำแหน่ง 6 เดือน ปตท.ทำนิ่งเฉย
นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงการทำงานของบอร์ด ปตท.ที่คาดว่านายปานปรีย์ พหิทธานุกร จะถูกเลือกมาดำรงตำแหน่งประธานบอร์ด ปตท.แทนนายวิเชษฐ เกษมทองศรี ว่าต้องการให้บอร์ด ปตท.พิจารณาการดำเนินงานของ บมจ.ปตท.ให้เร่งขยายสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ หรือปั๊มเอ็นจีวี ที่ขณะนี้มีอยู่ 490 แห่งให้เพิ่มขึ้น เนื่องจากตั้งแต่ตนเข้ารับตำแหน่งได้มอบหมายไปจนขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด ส่งผลให้ประชาชนยังรอคิวยาวในการใช้บริการ โดยเฉพาะในเขต กทม. และปริมณฑล
นอกจากนี้ยังต้องการให้ ปตท.มีการแยกบริษัทท่อขนส่งก๊าซธรรมชาติ ออกมาเป็นบริษัทในเครือ ปตท. เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการจัดทำบัญชี เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบถึงวงเงินลงทุนและการดำเนินงานที่ชัดเจนสามารถชี้แจงต่อสาธารณชนได้มากขึ้น ซึ่งทั้งสองเรื่องถึงเป็นงานที่ควรจะเร่งดำเนินการเพราะได้มอบหมายไปนานแล้ว อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นราคาเอ็นจีวีที่ขณะนี้อยู่ที่ 10.50 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) ซึ่ง ปตท.ระบุว่าขาดทุนนั้นยอมรับว่าหากปั๊มเอ็นจีวียังไม่ครอบคลุมการบริการที่ดีพอ การขึ้นราคาก็คงจะไม่สามารถดำเนินการได้
นายพงษ์ศักดิ์ยังกล่าวภายหลังการเข้าพบของนายอันเตลโฟ โฆเช กอนซาเลซ (Mr.Andellfo Jose Garcia Gonzales) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐโคลอมเบียประจำประเทศไทย เมื่อเร็วๆ นี้ว่า ทางโคลอมเบียได้เชิญชวนให้ไทยไปร่วมลงทุนในแหลิงปิโตรเลียม และถ่านหิน โดยเป็นประเทศที่มีสำรองถ่านหินเป็นอันดับ 6 ของโลก ซึ่งทางรัฐมนตรีต่างประเทศของโคลอมเบียจะมาเยือนไทยและอีกหลายประทศในเดือนกรกฎาคมนี้
ทั้งนี้ เบื้องต้นจะให้ทาง บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ.ไปศึกษาเรื่องการร่วมลงทุนในแหล่งปิโตรเลียม แต่จะเป็นลักษณะการไปร่วมทุนในแหล่งที่ผลิตแล้วเพื่อลดความเสี่ยงการลงทุนและการตลาดเพื่อให้สามารถสร้างรายได้ และเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของไทยด้วย เพราะเป็นที่ทราบดีว่าแหล่งของไทยจะลดน้อยลงในอนาคตและมีความจำเป็นต้องนำเข้าในปริมาณสูงขึ้น