“หม่อมอุ๋ย-กอบศักดิ์” ร่วมวงหารือ “กกร.” ส่งสัญญาณเอกชนรับมือเงินบาทจะยังแข็งค่าได้อีกตามทิศทางเศรษฐกิจเอเชีย หนุนคลัง-ธปท.ดูแลไม่ให้แข็งนำภูมิภาค จี้เอกชนปรับตัวลดต้นทุนรับมือ โอกาสกลับไปเห็น 31 บาทต่อเหรียญฯ อย่าหวัง
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยหลังเป็นประธานประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วยส.อ.ท. สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย เมื่อ 7 พ.ค.ว่า กกร.ได้เชิญ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) มาร่วมให้ข้อมูลและเสนอแนะการปรับตัวของเอกชนต่อภาวะค่าเงินบาทที่แข็งค่าโดยได้ยืนยันตรงกันว่าแนวโน้มค่าเงินบาทไทยจะแข็งค่าขึ้นอีกในอนาคตตามทิศทางเศรษฐกิจเอเชีย ดังนั้น สิ่งสำคัญคือ คลังและ ธปท.จะต้องดูแลไม่ให้แข็งค่านำภูมิภาค ส่วนเอกชนจะต้องเตรียมปรับตัวในการลดต้นทุนไว้รองรับด้วย
“หม่อมอุ๋ยชี้ให้เห็นว่า ค่าเงินบาทของไทยปี 2540 ตั้งแต่ 45 บาทต่อเหรียญสหรัฐอเมริกา ขณะนี้ 29 บาทต่อเหรียญฯ ก็เห็นว่าบาทไทยมีแต่จะแข็งขึ้นเรื่อยๆ ตามภาวะเศรษฐกิจโดยเฉพาะเอเชียที่เงินจะไหลมาอีกมาก โอกาสจะเห็น 31 บาทต่อเหรียญฯ จะไม่มีแล้ว แต่สิ่งที่เห็นตรงกันคือ ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาบาทของไทยแข็งค่ามากเกินพื้นฐานเศรษฐกิจ” นายพยุงศักดิ์กล่าว
ทั้งนี้ ที่ประชุมไม่ได้หารือประเด็นการปลดผู้ว่าฯ ธปท.แต่อย่างใด และไม่ได้เจาะจงว่าจะต้องใช้มาตรการใดมาแก้ไขปัญหา เพราะคาดว่า ธปท.และคลังเริ่มทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น โดยค่าเงินบาทเริ่มอ่อนค่าลงมาสู่ระดับ 29-5-29.6 บาทต่อเหรียญฯ แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะมีเสถียรภาพระดับดังกล่าวไปนานเพียงใด จึงต้องการให้ ธปท.และคลังดูแลวันต่อวัน
ส่วนมาตรการกระทบน้อยสุด คือ การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และแรงสุดคือการควบคุมเงินทุนไหลเข้าออก หรือ Capital Control ซึ่งขณะนี้มาตรการใดๆ ออกมา ขอเพียงค่าบาทสะท้อนภูมิภาคและไม่แข็งค่านำเท่านั้นคือสิ่งที่เอกชนต้องการ โดยขณะนี้ค่าเงินบาทควรอยู่ระดับ 30 บาทบวกลบ