เผยศาลปกครองกลางไม่รับพิจารณาคดีที่ “ปาร์คกิ้ง” ฟ้อง ทอท. ซึ่งโอนไปจากศาลแพ่งแล้ว “ศิธา” เผยคำสั่งดังกล่าวทำให้การคุ้มครองชั่วคราวที่ให้ปาร์คกิ้งอยู่ในพื้นที่ยุติไปด้วย และต้องออกจากที่จอดรถสุวรรณภูมิใน 30 เม.ย. และทอท.จะเข้าไปวางระบบเก็บเงินเอง ด้าน “ปาร์คกิ้ง” ยันไม่ออก ชี้กระบวนการไม่จบพร้อมยื่นสอบความโปร่งใสการพิจารณาและถูก ทอท.ข่มขู่ แฉมีหลักฐานมัด ทอท.ยกเลิกสัญญาไม่ถูกต้องตั้งแต่ต้น
แหล่งข่าวจากบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2556 ศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาคดีหมายเลขดำที่ ๒๕๔/๒๕๕๖ ระหว่างบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเม้นท์ จำกัด ผู้ฟ้องคดี กับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ซึ่งเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำ ที่ ๒๕๗๔/๒๕๕๖ ที่ศาลแพ่งได้มีคำสั่งให้โอนคดีไปศาลปกครองกลาง เนื่องจาก ทอท.ได้ยื่นคำร้องต่อตุลาการศาลปกครองกลางเพื่อให้พิจารณาในประเด็นการฟ้องซ้ำกับคดีศาลปกครองหมายเลขดำ ที่ ๑๖๒๘/๒๕๕๓ ที่ปาร์คกิ้งฟ้อง ทอท. และให้คืนเงินค่าจอดรถทั้งหมดที่วางต่อศาลให้กับ ทอท.
น.ต.ศิธา ทิวารี ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) ทอท.กล่าวว่า ศาลมีคำสั่งไม่รับฟ้องเท่ากับสิ่งที่ปาร์คกิ้งร้องเรียนว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมไม่มีมูล ทำให้กระบวนการคุ้มครองชั่วคราวยุติไปด้วย โดยปาร์คกิ้งจะต้องออกจากพื้นที่อาคารจอดรถภายในวันที่ 30 เมษายน 2556 หลังจากนั้น ทอท.จะเข้าไปดำเนินการจัดระบบเก็บค่าจอดรถใหม่ โดยในช่วง 1-2 เดือนแรกจะเป็นระบบตรวจสอบชั่วคราวก่อน จากนั้นจะติดตั้งระบบถาวร คาดว่าจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 6 เดือน
“ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมาย ปาร์คกิ้งต้องปฎิบัติตามคำสั่งศาล เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว และไม่เกิดปัญหาความวุ่นวายเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งก่อนหน้านี้ปาร์คกิ้งมั่นใจว่าจะชนะมาตลอด และก่อนศาลปกครองจะมีคำสั่ง ทอท.เคยเรียกปาร์คกิ้งมาคุยให้ถอนฟ้อง และยุติสัญญากันไปโดยให้ส่วนแบ่งรายได้ที่จัดเก็บไว้ช่วงมีการคุ้มครองชั่วคราวกับปาร์คกิ้ง 25% แต่ปาร์คกิ้งไม่ตกลง ส่วนการยื่นอุทธรณ์เป็นสิทธิของปาร์คกิ้งที่สามารถทำได้ตามกฎหมาย” น.ต.ศิธากล่าว
ตัวแทนบริษัท ปาร์คกิ้ง ระบุว่า บริษัทฯ ไม่มีโอกาสนำเสนอข้อเท็จจริงตามคำร้องต่อศาล ยืนยันว่าจะไม่ออกจากพื้นที่อาคารจอดรถแน่นอน และจะมีการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดด้วย โดยเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2556 บริษัทได้ยื่นเรื่องขอความเป็นธรรมและขอให้ตรวจสอบการทำหน้าที่พิจารณาตัดสินคดีของตุลาการศาลปกครองกลาง ต่อประธานศาลปกครองสูงสุด และอธิบดีศาลปกครองกลางถึงความโปร่งใสแล้ว โดยหลังจาก ทอท.ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลาง ตุลาการเจ้าของสำนวนมิได้ทำหนังสือแจ้งให้ปาร์คกิ้งทราบและไม่มีโอกาสได้นำเสนอข้อเท็จจริง และทางกฎหมายคดียังไม่ถึงที่สิ้นสุดบริษัทจะยังจะทำหน้าที่ต่อไป ตามที่ศาลเคยมีคำสั่งคุ้มครองก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ ทอท.จงใจไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลก่อนหน้านี้ที่ให้ส่งเงินค่าจอดรถที่จัดเก็บได้ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2555 เรื่อยมาเป็นเงิน 90 ล้านบาท และกลางเดือนมีนาคม 2556 ทอท.ได้ส่งตัวแทนมาเจรจากับปาร์คกิ้ง ซึ่งปาร์คกิ้งไม่สามารถรับข้อเสนอรับเงิน25%จากยอดที่วางศาลทั้งหมดเพื่อให้ถอนฟ้อง ทอท.ทุกคดีเพราะหนึ่งในคณะผู้แทน ทอท.พูดจาข่มขู่ว่า “เดือนนี้ศาลปกครองกลางจะตัดสินคดีโดยไม่คุ้มครองและให้ปาร์คกิ้งเก็บของออกไป” และวันที่ 27 มีนาคม 2556 ทอท.กลับนำเงินไปส่งศาลปกครองกลางและศาลมีคำสั่งไม่รับฟ้องออกมาวันที่ 28 มีนาคม 2556 ซึ่งเป็นเรื่องที่ปาร์คกิ้งสงสัยและยื่นร้องให้ตรวจสอบ
อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นที่ ทอท.ยกเลิกสัญญาบริหารจัดการอาคารและลานจอดรถหน้าอาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเมื่อ ตุลาคม 2553 ไม่ถูกต้องเนื่องจากนายสมชัย สวัสดีผล ผู้ลงนามไม่มีอำนาจ และเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2556 บอร์ด ทอท.ที่มี พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี เป็นประธานได้มีมติให้สัตยาบันย้อนหลังกรณีที่ไม่ได้ประทับตราบริษัทในหนังสือมอบอำนาจผู้ลงนาม เท่ากับ ทอท.รับรู้และยอมรับว่าการเลิกสัญญาไม่ถูกต้อง และระหว่างศาลคุ้มครองชั่วคราว ให้ปาร์คกิ้งทำหน้าที่เก็บค่าจอดรถ และ ทอท.รวบรวมรายได้นำไปวางไว้ที่ศาล แต่เมื่อเดือน ก.ค. 55 ต่อมาศาลได้เปลี่ยนแปลงคำสั่งโดยให้ปาร์คกิ้งดูแลขาเข้า ส่วน ทอท.ดูแลขาออก ซึ่ง ทอท.ได้จ้างบริษัท แฮปปี้ฯ และบริษัทพี พี โฮมฯ เข้ามาดำเนินการแทน ส่อว่าจะเกิดการทุจริตทำให้ ทอท.เสียหายเพราะเบิกค่าจ้างเดือนละกว่า 2 ล้านบาท ขณะที่ก่อนหน้านี้ปาร์คกิ้งเบิกค่าจ้างเดือนละ 1 ล้านบาท โดยดูแลทั้งเข้าและออก