“เรกูเลเตอร์” เตรียมประกาศตรึงค่าไฟฟ้างวดใหม่ (พ.ค.-ส.ค.) นี้หลังมีปัจจัยบวกค่าบาทแข็ง และราคาเชื้อเพลิงทรงตัว ย้ำในอนาคตค่าไฟมีโอกาสแพงขึ้นหากไทยยังพึ่งพิงก๊าซฯ ผลิตไฟสูงเกินไป
นายดิเรก ลาวัณย์ศิริ ประธานกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือเรกูเลเตอร์ เปิดเผยว่า ภายในเดือนนี้จะพิจารณาอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ หรือเอฟที ที่จะเรียกเก็บในบิลค่าไฟประชาชนงวดใหม่ (พ.ค.-ส.ค.56) นี้โดยเบื้องต้นคาดว่าจะยังสามารถตรึงค่าไฟต่อไปได้แม้ว่าขณะนี้อากาศจะร้อนจัดทำให้การใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีก) เกิดขึ้นหลายครั้งก็ตามเนื่องจากได้รับปัจจัยบวกในเรื่องของค่าเงินบาทที่แข็งค่าและราคาเชื้อเพลิงก็อยู่ในระดับทรงตัว
ทั้งนี้ ในอนาคตยอมรับว่าไทยจะต้องพิจารณากระจายแหล่งเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าจากปัจจุบันที่ไทยพึ่งพิงก๊าซธรรมชาติผลิตไฟสูงเกือบ 70% ซึ่งเสี่ยงต่อความมั่นคงและค่าไฟฟ้าในอนาคตที่จะแพงขึ้นเพราะก๊าซฯ ในแหล่งอ่าวไทยและแม้แต่เพื่อนบ้านอย่างพม่าก็จะทยอยลดลงทำให้ไทยต้องพึ่งพิงการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว หรือแอลเอ็นจี ซึ่งมีราคาแพงกว่าก๊าซฯ อ่าวไทยเท่าตัวซึ่งก็จะทำให้ค่าไฟฐานของไทยในอีก 4-5 ปีข้างหน้าเพิ่มเป็น 5 บาทต่อหน่วยได้จาก 3.76 บาทต่อหน่วยในปัจจุบัน
“การผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินสะอาด ซึ่งหากฝ่ายผู้ผลิตสามารถผลักดันโครงการ และเริ่มสร้างได้เรกูเลเตอร์ก็จะเร่งเข้าไปจัดตั้งกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า เพื่อเป็นเงินที่โรงไฟฟ้าจะต้องจ่าย เพื่อนำมาพัฒนาชุมชนใกล้เคียง ซึ่งปัจจุบันโรงไฟฟ้าถ่านหินสะอาดจะต้องจ่ายเงินเข้ากองทุน 2 สตางค์ต่อหน่วย ขณะที่จัดเก็บจากโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ 1 สตางค์ต่อหน่วย แต่มองว่ายังไม่มีความจำเป็นในการเพิ่มอัตราการเก็บเงินจากโรงไฟฟ้าถ่านหินสะอาดเข้ากองทุนฯ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ชุมชน เพราะปัญหาการไม่ยอมรับไม่ได้มาจากเรื่องจำนวนเงิน แต่มาจากความเป็นห่วงเรื่องผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของคนในชุมชนใกล้เคียงโรงไฟฟ้ามากกว่า” นายดิเรกกล่าว