“ชาร์ป” ทุ่ม 1,000 ล้านบาทเพิ่มกำลังการผลิตตู้เย็น เจาะเออีซีใน 5 ปี คาดจบปีงบประมาณ 2555 รายได้ทะลุ 2.2 หมื่นล้านบาท ส่วนปีต่อไปหวังโต 6%
นายทาคาชิ ซูซูกิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาร์ป แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า จากความต้องการของผุ้บริโภคที่มีความต้องการตู้เย็นมากยิ่งขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะหลังจากเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซีในปี 2558 ดังนั้น เพื่อรองรับกับความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นนี้ ทางบริษัทฯ เตรียมงบลงทุนในช่วง 5 ปีนี้ กว่า 1,000 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิตสินค้าในกลุ่มตู้เย็นจากทั้ง 2 โรงงานในไทย โดยเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องจักร ที่ปัจจุบันมีกำลังการผลิตที่ 1.5 ล้านเครื่องต่อปี จะเพิ่มเป็น 1.8 ล้านเครื่องภายในสิ้นปีนี้ สู่เป้าหมายยอดการผลิตตู้เย็นที่ 20 ล้านเครื่องในอีก 5 ปีข้างหน้า ตามเป้าหมายที่วางไว้
นอกจากนี้ยังมีแผนลงทุนในส่วนของไลน์สินค้าใหม่ๆ ในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน ที่มองว่าจะมีโอกาสในตลาด อาทิ ในกลุ่มหม้อหุงข้าวเพื่อสุขภาพ ที่มีวางตลาดแล้วในประเทศญี่ปุ่น จากปัจจุบันมีสัดส่วนการส่งออกไปยังต่างประเทศ 90% และอีก 10% เพื่อขายภายในประเทศ โดยมากกว่า 70% ส่งออกไปยังตลาดอาเซียน และที่เหลือเป็นโซนโอเชียเนีย หรือออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ รวมถึงกลุ่มประเทศในยุโรป ตะวันออกกลาง จีน และญี่ปุ่น โดยล่าสุดได้พัฒนาตู้เย็นรุ่น “บอตทอม ฟรีสเซอร์” (Bottom Freezer) ฉลองยอดผลิตตู้เย็น 10 ล้านเครื่อง สามารถเปิดประตูได้ทั้งซ้ายและขวาเอกลักษณ์เฉพาะชาร์ป ซึ่งจะผลิตในเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงกลางเดือนนี้ และส่งออกไปยังอาเซียนเป็นภูมิภาคแรก
นายทาคาชิกล่าวต่อว่า ปัจจุบันชาร์ปมีโรงงานอยู่ 4 แห่ง คือ โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ผลิตเพื่อจำหน่ายภายในประเทศ, เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ผลิตเพื่อส่งออกจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปญี่ปุ่น, จาการ์ตา ปาระเทศอินโดนีเซีย ผลิตเพื่อใช้ภายในประเทศ ซึ่งเริ่มผลิตได้ในช่วงเดือน ต.ค.นี้ และที่ประเทศไทยซึ่งถือเป็นโรงงานที่ใหญ่ที่สุดของชาร์ปทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม จากต้นทุนการปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำวันละ 300 บาท ถือว่าได้รับผลกระทบในส่วนของต้นทุนที่สูงขึ้น และทางบริษัทุ่งปรับต้นทุนให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการผลิตสินค้าให้มากขึ้น ลดเวลาในกระบวนการผลิต รวมถึงการจัดหาชิ้นส่วนจากแหล่งใหม่ๆ และจัดซื้อชิ้นส่วนในจำนวนที่มากขึ้นต่อการสั่งซื้อ 1 ครั้ง ซึ่งตรงนี้สามารถช่วยลดต้นทุนการผลิตได้ส่วนหนึ่ง มั่นใจว่าจะเป็นส่วนสำคัญที่จะส่งผลต่อผลประกอบการในปีงบประมาณ 2555 นี้ (เม.ย. 54 - มี.ค. 55) บริษัทจะมีรายได้รวม 2.2 หมื่นล้านบาท ส่วนในปีหน้าคาดเติบโตอีก 6% โดยชาร์ปมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับต้นๆ ในภูมิภาคอาเซียน
นายทาคาชิ ซูซูกิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาร์ป แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า จากความต้องการของผุ้บริโภคที่มีความต้องการตู้เย็นมากยิ่งขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะหลังจากเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซีในปี 2558 ดังนั้น เพื่อรองรับกับความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นนี้ ทางบริษัทฯ เตรียมงบลงทุนในช่วง 5 ปีนี้ กว่า 1,000 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิตสินค้าในกลุ่มตู้เย็นจากทั้ง 2 โรงงานในไทย โดยเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องจักร ที่ปัจจุบันมีกำลังการผลิตที่ 1.5 ล้านเครื่องต่อปี จะเพิ่มเป็น 1.8 ล้านเครื่องภายในสิ้นปีนี้ สู่เป้าหมายยอดการผลิตตู้เย็นที่ 20 ล้านเครื่องในอีก 5 ปีข้างหน้า ตามเป้าหมายที่วางไว้
นอกจากนี้ยังมีแผนลงทุนในส่วนของไลน์สินค้าใหม่ๆ ในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน ที่มองว่าจะมีโอกาสในตลาด อาทิ ในกลุ่มหม้อหุงข้าวเพื่อสุขภาพ ที่มีวางตลาดแล้วในประเทศญี่ปุ่น จากปัจจุบันมีสัดส่วนการส่งออกไปยังต่างประเทศ 90% และอีก 10% เพื่อขายภายในประเทศ โดยมากกว่า 70% ส่งออกไปยังตลาดอาเซียน และที่เหลือเป็นโซนโอเชียเนีย หรือออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ รวมถึงกลุ่มประเทศในยุโรป ตะวันออกกลาง จีน และญี่ปุ่น โดยล่าสุดได้พัฒนาตู้เย็นรุ่น “บอตทอม ฟรีสเซอร์” (Bottom Freezer) ฉลองยอดผลิตตู้เย็น 10 ล้านเครื่อง สามารถเปิดประตูได้ทั้งซ้ายและขวาเอกลักษณ์เฉพาะชาร์ป ซึ่งจะผลิตในเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงกลางเดือนนี้ และส่งออกไปยังอาเซียนเป็นภูมิภาคแรก
นายทาคาชิกล่าวต่อว่า ปัจจุบันชาร์ปมีโรงงานอยู่ 4 แห่ง คือ โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ผลิตเพื่อจำหน่ายภายในประเทศ, เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ผลิตเพื่อส่งออกจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปญี่ปุ่น, จาการ์ตา ปาระเทศอินโดนีเซีย ผลิตเพื่อใช้ภายในประเทศ ซึ่งเริ่มผลิตได้ในช่วงเดือน ต.ค.นี้ และที่ประเทศไทยซึ่งถือเป็นโรงงานที่ใหญ่ที่สุดของชาร์ปทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม จากต้นทุนการปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำวันละ 300 บาท ถือว่าได้รับผลกระทบในส่วนของต้นทุนที่สูงขึ้น และทางบริษัทุ่งปรับต้นทุนให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการผลิตสินค้าให้มากขึ้น ลดเวลาในกระบวนการผลิต รวมถึงการจัดหาชิ้นส่วนจากแหล่งใหม่ๆ และจัดซื้อชิ้นส่วนในจำนวนที่มากขึ้นต่อการสั่งซื้อ 1 ครั้ง ซึ่งตรงนี้สามารถช่วยลดต้นทุนการผลิตได้ส่วนหนึ่ง มั่นใจว่าจะเป็นส่วนสำคัญที่จะส่งผลต่อผลประกอบการในปีงบประมาณ 2555 นี้ (เม.ย. 54 - มี.ค. 55) บริษัทจะมีรายได้รวม 2.2 หมื่นล้านบาท ส่วนในปีหน้าคาดเติบโตอีก 6% โดยชาร์ปมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับต้นๆ ในภูมิภาคอาเซียน