สภาคองเกรสของสหรัฐกำลังดำเนินการอย่างรวดเร็วในการอนุมัติร่างกฎหมายสำหรับการจัดสรรเงินทุนให้แก่รัฐบาลกลางสหรัฐจนถึงวันที่ 30 ก.ย.ในขณะที่ผู้นำวุฒิสภาแสดงความต้องการที่จะหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานรัฐบาลเมื่องบประมาณในการดำเนินงานหมดลงในวันที่ 27 มี.ค.
นายแฮร์รี รีด ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภา กล่าวว่า "ผมคาดการณ์ในทางบวกอย่างระมัดระวังว่า เราจะสามารถหาทางออกได้ ก่อนที่เราจะพักสมัยประชุมในช่วงเทศกาลอีสเตอร์" โดยการพักสมัยประชุมมีกำหนดจะเริ่มต้นขึ้นในวันเสาร์ที่ 23 มี.ค.
นายมิทช์ แมคคอนเนล ผู้นำวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันแสดงความเชื่อมั่นเช่นเดียวกัน โดยเขากล่าวต่อผู้สื่อข่าวว่า "ทั้งสองฝ่ายไม่ต้องการที่จะให้หน่วยงานรัฐบาลปิดทำการ"
คาดกันว่าสภาผู้แทนราษฎรจะอนุมัติร่างกฎหมายของสมาชิกพรรครีพับลิกันในวันนี้ โดยร่างกฎหมายดังกล่าวตั้งเป้าที่จะสกัดกั้นการตัดงบรายจ่ายในโครงการป้องกันประเทศและโครงการสำหรับทหารผ่านศึกบางโครงการ โดยใช้วิธีบรรจุงบรายจ่ายทางการทหารฉบับปรับปรุงใหม่เข้ามาไว้ในร่างกฎหมายนี้ นอกจากนี้
ร่างกฎหมายนี้จะโยกย้ายเงินทุนบางส่วนมาใช้ในการดำเนินงานด้านความมั่นคงเช่น การรักษาความปลอดภัยบริเวณพรมแดน, ในสถานทูต, เรือนจำ และการดำเนินงานของเอฟบีไอ
นางบาร์บารา มิคุลสกี ประธานคณะกรรมาธิการจัดสรรงบประมาณประจำวุฒิสภา แสดงความไม่พอใจที่ร่างกฎหมายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครีพับลิกันไม่ได้เพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่โครงการภายในประเทศ เช่น
โครงการการศึกษา
ทำเนียบขาวแสดงความกังวลว่า หน่วยงานรัฐบาลภายในสหรัฐอาจจะต้องเปิดดำเนินงานภายใต้งบประมาณแบบเก่าซึ่งมีวงเงินจำกัดโดยทำเนียบขาวระบุในแถลงการณ์ว่า ทำเนียบขาวจะทำงานร่วมกับสภาคองเกรสในการ "ปรับรายละเอียดในร่างกฎหมาย" และจะยังคงกดดันสมาชิกสภาคองเกรสให้หามาตรการใหม่เพื่อใช้แทนที่มาตรการตัดงบรายจ่ายโดยอัตโนมัติ (sequestration)
ในสัปดาห์หน้าวุฒิสมาชิกพรรคเดโมแครตจะเสนอร่างกฎหมายของตนเพื่อให้วุฒิสภาลงคะแนนเสียง โดยมีแนวโน้มว่าร่างกฎหมายนี้จะเพิ่มความยืดหยุ่นทางการระดมทุนให้แก่โครงการภายในประเทศบางโครงการ
คาดกันว่าร่างกฎหมายทั้งของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาจะตั้งเพดานงบรายจ่ายที่ไม่จำเป็นไว้ที่ 1.043 ล้านล้านดอลลาร์สำหรับปีงบประมาณ 2013แต่งบดังกล่าวจะลดลงสู่ 9.82 แสนล้านดอลลาร์ถ้าหาก sequestration ยังคงมีผลบังคับใช้
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา สมาชิกพรรครีพับลิกันได้ใช้ร่างกฎหมายจัดสรรเงินทุนระยะสั้นให้แก่รัฐบาล ซึ่งมีชื่อเรียกว่า "continuing resolutions"เป็นเครื่องมือในการกดดันรัฐบาลให้ปรับลดงบรายจ่ายลง ขณะที่สมาชิกพรรคเดโมแครตคัดค้านแผนการตัดงบรายจ่ายจำนวนมากของพรรครีพับลิกัน และสิ่งนี้ทำให้นักลงทุนเคยกังวลกันว่า ทั้งสองฝ่ายอาจจะไม่สามารถตกลงกันได้ซึ่งจะส่งผลให้หน่วยงานรัฐบาลจำนวนมากต้องปิดทำการ
ขณะนี้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครีพับลิกันมั่นใจว่า รัฐบาลสหรัฐจะปรับลดงบรายจ่ายลง 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วง 7 เดือนข้างหน้า ดังนั้นความขัดแย้งระหว่างทั้งสองพรรคจึงดูเหมือนเบาบางลงในช่วงนี้
นายแฮร์รี รีดกล่าวว่า "สิ่งที่จะต้องรอดูกันต่อไปก็คือว่า ความพยายามหลีกเลี่ยงจากวิกฤติในครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่าสมาชิกพรรครีพับลิกันได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ไปแล้วอย่างแท้จริง หรือพวกเขาเพียงแค่หยุดพักการใช้นโยบายแบบสุดขั้วเพียงระยะสั้นๆเท่านั้นหลังจากที่เคยใช้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา"
เมื่อใดก็ตามที่ร่างกฎหมายจัดสรรเงินทุนจนถึงช่วงสิ้นสุดปีงบประมาณนี้มีผลบังคับใช้ สภาคองเกรสก็จะมุ่งความสนใจไปยังประเด็นขัดแย้งด้านงบประมาณประเด็นถัดไป ซึ่งได้แก่ร่างงบประมาณสำหรับปีงบประมาณใหม่ที่จะเริ่มต้นในวันที่1 ต.ค.2013
เป็นที่คาดกันว่านายพอล ไรอัน ประธานคณะกรรมาธิการงบประมาณประจำสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรครีพับลิกัน จะเปิดเผยร่างงบประมาณในสัปดาห์หน้า โดยร่างงบประมาณของเขาตั้งเป้าที่จะทำให้งบประมาณเข้าสู่ภาวะสมดุลในเวลา 10 ปีข้างหน้า
นายไรอันเสนอแผนการที่จะปรับลดโครงการเมดิแคร์ (โครงการประกันสุขภาพสำหรับคนชรา) สำหรับประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 56 ปีลงไป อย่างไรก็ดีแผนการดังกล่าวสวนทางกับคำสัญญาของนายไรอันที่เคยให้ไว้ในช่วงที่เขาหาเสียงเลือกตั้งชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐในปีที่แล้ว โดยในขณะนั้นเขาให้สัญญาว่า
การปรับลดโครงการเมดิแคร์จะไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป
ในฤดูร้อนปีนี้ สภาคองเกรสและประธานาธิบดีบารัค โอบามามีแนวโน้มที่จะมีเรื่องขัดแย้งกันอีกครั้งในประเด็นเรื่องการเพิ่มอำนาจการกู้ยืมของกระทรวงการคลังสหรัฐ
ขณะนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า ในระหว่างที่มีการพิจารณาร่างกฎหมายเหล่านี้สมาชิกพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันจะสามารถตกลงกันได้หรือไม่ในเรื่องการปรับลดยอดขาดดุลงบประมาณลงในระยะยาว
(ข่าวจากสำนักข่าว รอยเตอร์)
T.Thammasak
นายแฮร์รี รีด ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภา กล่าวว่า "ผมคาดการณ์ในทางบวกอย่างระมัดระวังว่า เราจะสามารถหาทางออกได้ ก่อนที่เราจะพักสมัยประชุมในช่วงเทศกาลอีสเตอร์" โดยการพักสมัยประชุมมีกำหนดจะเริ่มต้นขึ้นในวันเสาร์ที่ 23 มี.ค.
นายมิทช์ แมคคอนเนล ผู้นำวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันแสดงความเชื่อมั่นเช่นเดียวกัน โดยเขากล่าวต่อผู้สื่อข่าวว่า "ทั้งสองฝ่ายไม่ต้องการที่จะให้หน่วยงานรัฐบาลปิดทำการ"
คาดกันว่าสภาผู้แทนราษฎรจะอนุมัติร่างกฎหมายของสมาชิกพรรครีพับลิกันในวันนี้ โดยร่างกฎหมายดังกล่าวตั้งเป้าที่จะสกัดกั้นการตัดงบรายจ่ายในโครงการป้องกันประเทศและโครงการสำหรับทหารผ่านศึกบางโครงการ โดยใช้วิธีบรรจุงบรายจ่ายทางการทหารฉบับปรับปรุงใหม่เข้ามาไว้ในร่างกฎหมายนี้ นอกจากนี้
ร่างกฎหมายนี้จะโยกย้ายเงินทุนบางส่วนมาใช้ในการดำเนินงานด้านความมั่นคงเช่น การรักษาความปลอดภัยบริเวณพรมแดน, ในสถานทูต, เรือนจำ และการดำเนินงานของเอฟบีไอ
นางบาร์บารา มิคุลสกี ประธานคณะกรรมาธิการจัดสรรงบประมาณประจำวุฒิสภา แสดงความไม่พอใจที่ร่างกฎหมายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครีพับลิกันไม่ได้เพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่โครงการภายในประเทศ เช่น
โครงการการศึกษา
ทำเนียบขาวแสดงความกังวลว่า หน่วยงานรัฐบาลภายในสหรัฐอาจจะต้องเปิดดำเนินงานภายใต้งบประมาณแบบเก่าซึ่งมีวงเงินจำกัดโดยทำเนียบขาวระบุในแถลงการณ์ว่า ทำเนียบขาวจะทำงานร่วมกับสภาคองเกรสในการ "ปรับรายละเอียดในร่างกฎหมาย" และจะยังคงกดดันสมาชิกสภาคองเกรสให้หามาตรการใหม่เพื่อใช้แทนที่มาตรการตัดงบรายจ่ายโดยอัตโนมัติ (sequestration)
ในสัปดาห์หน้าวุฒิสมาชิกพรรคเดโมแครตจะเสนอร่างกฎหมายของตนเพื่อให้วุฒิสภาลงคะแนนเสียง โดยมีแนวโน้มว่าร่างกฎหมายนี้จะเพิ่มความยืดหยุ่นทางการระดมทุนให้แก่โครงการภายในประเทศบางโครงการ
คาดกันว่าร่างกฎหมายทั้งของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาจะตั้งเพดานงบรายจ่ายที่ไม่จำเป็นไว้ที่ 1.043 ล้านล้านดอลลาร์สำหรับปีงบประมาณ 2013แต่งบดังกล่าวจะลดลงสู่ 9.82 แสนล้านดอลลาร์ถ้าหาก sequestration ยังคงมีผลบังคับใช้
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา สมาชิกพรรครีพับลิกันได้ใช้ร่างกฎหมายจัดสรรเงินทุนระยะสั้นให้แก่รัฐบาล ซึ่งมีชื่อเรียกว่า "continuing resolutions"เป็นเครื่องมือในการกดดันรัฐบาลให้ปรับลดงบรายจ่ายลง ขณะที่สมาชิกพรรคเดโมแครตคัดค้านแผนการตัดงบรายจ่ายจำนวนมากของพรรครีพับลิกัน และสิ่งนี้ทำให้นักลงทุนเคยกังวลกันว่า ทั้งสองฝ่ายอาจจะไม่สามารถตกลงกันได้ซึ่งจะส่งผลให้หน่วยงานรัฐบาลจำนวนมากต้องปิดทำการ
ขณะนี้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครีพับลิกันมั่นใจว่า รัฐบาลสหรัฐจะปรับลดงบรายจ่ายลง 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วง 7 เดือนข้างหน้า ดังนั้นความขัดแย้งระหว่างทั้งสองพรรคจึงดูเหมือนเบาบางลงในช่วงนี้
นายแฮร์รี รีดกล่าวว่า "สิ่งที่จะต้องรอดูกันต่อไปก็คือว่า ความพยายามหลีกเลี่ยงจากวิกฤติในครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่าสมาชิกพรรครีพับลิกันได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ไปแล้วอย่างแท้จริง หรือพวกเขาเพียงแค่หยุดพักการใช้นโยบายแบบสุดขั้วเพียงระยะสั้นๆเท่านั้นหลังจากที่เคยใช้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา"
เมื่อใดก็ตามที่ร่างกฎหมายจัดสรรเงินทุนจนถึงช่วงสิ้นสุดปีงบประมาณนี้มีผลบังคับใช้ สภาคองเกรสก็จะมุ่งความสนใจไปยังประเด็นขัดแย้งด้านงบประมาณประเด็นถัดไป ซึ่งได้แก่ร่างงบประมาณสำหรับปีงบประมาณใหม่ที่จะเริ่มต้นในวันที่1 ต.ค.2013
เป็นที่คาดกันว่านายพอล ไรอัน ประธานคณะกรรมาธิการงบประมาณประจำสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรครีพับลิกัน จะเปิดเผยร่างงบประมาณในสัปดาห์หน้า โดยร่างงบประมาณของเขาตั้งเป้าที่จะทำให้งบประมาณเข้าสู่ภาวะสมดุลในเวลา 10 ปีข้างหน้า
นายไรอันเสนอแผนการที่จะปรับลดโครงการเมดิแคร์ (โครงการประกันสุขภาพสำหรับคนชรา) สำหรับประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 56 ปีลงไป อย่างไรก็ดีแผนการดังกล่าวสวนทางกับคำสัญญาของนายไรอันที่เคยให้ไว้ในช่วงที่เขาหาเสียงเลือกตั้งชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐในปีที่แล้ว โดยในขณะนั้นเขาให้สัญญาว่า
การปรับลดโครงการเมดิแคร์จะไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป
ในฤดูร้อนปีนี้ สภาคองเกรสและประธานาธิบดีบารัค โอบามามีแนวโน้มที่จะมีเรื่องขัดแย้งกันอีกครั้งในประเด็นเรื่องการเพิ่มอำนาจการกู้ยืมของกระทรวงการคลังสหรัฐ
ขณะนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า ในระหว่างที่มีการพิจารณาร่างกฎหมายเหล่านี้สมาชิกพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันจะสามารถตกลงกันได้หรือไม่ในเรื่องการปรับลดยอดขาดดุลงบประมาณลงในระยะยาว
(ข่าวจากสำนักข่าว รอยเตอร์)
T.Thammasak