นายเหวิน เจียเป่า นายกรัฐมนตรีจีน ระบุในร่างสุนทรพจน์ที่เตรียมกล่าวในการเปิดประชุมรัฐสภาประจำปีในวันนี้ว่า จีนจะเพิ่มการใช้จ่ายด้านการคลังในปีนี้อันเป็นความพยายามที่จะกระตุ้นอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสู่ระดับ 7.5%
นายเหวินยังระบุว่า จีนตั้งเป้าตัวเลขขาดดุลด้านการคลังในปีนี้ที่ 1.2ล้านล้านหยวน (1.928 แสนล้านดอลลาร์) หรือราว 2.0% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เพิ่มขึ้นจากการขาดดุล 8.50 แสนล้านหยวนในปี 2012ซึ่งคิดเป็น 1.6% ของจีดีพี
การใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นและการเร่งอนุมัติโครงการสาธารณูปโภคในช่วงครึ่งหลังของปี 2012 ได้ช่วยสกัดการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 13 ปีที่ 7.8% ในปี 2012 สูงกว่าเล็กน้อยจากเป้าที่ทางการจีนกำหนดไว้ที่ 7.5%
เอกสารที่ออกโดยคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติของจีน(NDRC) ระบุว่า การใช้จ่ายด้านทางรถไฟเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนการใช้จ่ายของภาครัฐ และจีนระบุว่าจะดำเนินการก่อสร้างเส้นทางรถไฟใหม่ระยะทาง5,200 กม.ในปีนี้
ส่วนกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า จะเพิ่มโควต้าการออกพันธบัตรของรัฐบาลท้องถิ่นเป็น 3.50 แสนล้านหยวนในปีนี้ เมื่อเทียบกับ 2.50 แสนล้านหยวนในปี 2012
กระทรวงการคลังยืนยันที่จะเพิ่มความเข้มงวดทางด้านกฏระเบียบด้านหนี้สินของรัฐบาลกลาง และควบคุมกิจกรรมทางการเงินที่ผิดปกติ
รัฐบาลท้องถิ่นของจีนได้ถูกกดดันจากความวิตกเกี่ยวกับหนี้สินเนื่องจากมียอดเงินกู้ 10.7 ล้านล้านหยวนภายในสิ้นปี 2010 โดยได้ทำการกู้ยืมอย่างมากเพื่อใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคตามแผนกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2008 หลังจีนเผชิญกับวิกฤติการเงินโลก
เอกสารระบุว่า "จีนจะเพิ่มขนาดของยอดขาดดุลงบประมาณและการออกพันธบัตรของรัฐบาลเพื่อรับประกันแผนการใช้จ่าย"
กระทรวงการคลังระบุว่า จะขยายโครงการนำร่องในการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มแทนที่ภาษีธุรกิจ
จีนยังระบุว่า จะเพิ่มการใช้จ่ายด้านการทหาร 10.7% ในปีนี้ สู่ 7.406แสนล้านหยวน โดยเพิ่มเติมจากงบประมาณด้านกลาโหมที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 10% ในช่วง20 ปีที่ผ่านมา
รัฐบาลจีนประกาศด้วยว่า งบประมาณด้านการรักษาความมั่นคงภายในประเทศจะเพิ่มขึ้น 8.7% สู่ 7.691 แสนล้านหยวน โดยเพิ่มขึ้นแซงหน้าการใช้จ่ายด้านกลาโหมเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน
ขณะที่ประชาชนทั่วประเทศมีความไม่พอใจมากขึ้นเกี่ยวกับมลภาวะที่ย่ำแย่ลงเอกสารของ NDRC ระบุว่า จีนเร่งที่จะพัฒนาแหล่งพลังงานสะอาด และส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ, พลังนิวเคลียร์และพลังลมรวม 42.24 ล้านกิโลวัตต์ในปีนี้
จีนมีแนวโน้มที่จะผ่อนคลายมาตรการควบคุมการเคลื่อนย้ายเงินทุนโดยจีนอาจจะผ่อนคลายกฎควบคุมการถือครองสกุลเงินหยวนในต่างประเทศซึ่งขณะนี้มีปริมาณราว 1 ล้านล้านหยวน (1.60 แสนล้านดอลลาร์)
ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้หมายความว่า ธนาคารกลางจีน (PBOC) จะยกเลิกการกำหนดตารางเวลาในการเปิดเสรีการเคลื่อนย้ายเงินทุน และจะหันมาใช้มาตรการปฏิรูปในการเปิดเสรีสิ่งนี้แทน โดยมาตรการปฏิรูปนี้จะผูกกับความต้องการของนักลงทุนต่างชาติในการถือครองหยวน และวิธีการแบบนี้จะเป็นการให้เสรีภาพมากยิ่ง
ขึ้นแก่ผู้ที่ต้องการนำเงินฝากหยวนในต่างประเทศเข้ามาลงทุนในจีน
แหล่งข่าวกล่าวว่า ธนาคารกลางจีนเชื่อว่าการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์แบบนี้จะเป็นการปกป้องเศรษฐกิจจีนให้รอดพ้นจากวิกฤติการเงินแบบที่เคยเกิดขึ้นในเอเชียในปี 1997/1998 ในขณะที่การเปิดเสรีอาจจะก่อให้เกิดวิกฤติดังกล่าวอดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงในธนาคารกลางจีนกล่าวว่า "การตอบรับต่ออุปสงค์ของต่างชาติที่มีต่อผลิตภัณฑ์หยวน จะเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการรักษาแรงหนุนสำหรับตลาดทุนและสำหรับการปฏิรูปบัญชีทุน"
อดีตเจ้าหน้าที่รายนี้กล่าวว่า "ธนาคารกลางจีนมีความกังวลเป็นอย่างมากต่อการเปิดบัญชีทุน เพราะเมื่อใดก็ตามที่จีนทำเช่นนั้น จีนก็รู้ดีว่าทุกสิ่งสามารถเกิดขึ้นได้"
"อย่างไรก็ดี นักลงทุนจะถือครองสกุลเงินหยวน ถ้าหากได้รับแรงจูงใจจากตลาดให้ทำเช่นนั้น"
นักลงทุนคาดว่า จีนจะทำให้หยวนกลายเป็นสกุลเงินที่แปลงสภาพได้ภายในปี 2015-2020 และเคยคาดการณ์ในช่วงก่อนหน้านี้ว่าทางการจีนอาจจะกำหนดตารางเวลาในการดำเนินการเรื่องนี้
การใช้วิธีการที่ยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้นในการเปิดเสรีหยวนทำให้จีนมีโอกาสปรับรายละเอียดในนโยบายต่างๆได้มากยิ่งขึ้น โดยจีนอาจจะปรับเพิ่มโควต้าในการนำหยวนในต่างประเทศเข้ามาลงทุนภายในประเทศ, อาจปรับเปลี่ยนกฎการจัดสรรเงินทุนสำหรับการลงทุนภายในประเทศ และอาจขยายช่องทางในการเข้ามามีส่วน
ร่วมในตลาดเงินภายในประเทศ
นายจาง จีเว่ย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีนของธนาคารโนมูระ กล่าวว่า"วิธีการนี้จะเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในจีนได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้มีเงินทุนไหลเข้าประเทศ และช่วยสร้างสมดุลให้แก่เงินทุนที่ไหลออกจากจีนโดยกระแสเงินทุนนี้จะปรับตัวตามปัจจัยในตลาด"
ปัจจุบันนี้บริษัทต่างชาติถือครองสกุลเงินหยวนสูงราว 4 เท่าของปริมาณที่สามารถนำเข้ามาลงทุนในจีน โดยปริมาณการค้าข้ามพรมแดนในรูปสกุลเงินหยวนพุ่งขึ้น 41.3 % สู่ 2.9 ล้านล้านหยวนในปี 2012
อย่างไรก็ดี ธนาคารกลางจีนกังวลว่า เงินทุนอาจจะไหลออกจากประเทศได้อย่างฉับพลัน ถ้าหากจีนยกเลิกกฎเกณฑ์อันเข้มงวดที่ใช้ในการควบคุมหยวนภายในเวลาอันรวดเร็ว
เมื่อพิจารณาจากตัวเลข "เงินร้อน" หรือความเปลี่ยนแปลงของทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่หักลบด้วยยอดส่งออกสุทธิและการลงทุนทางตรงจากต่างชาติ(FDI) จีนก็มียอดเงินร้อนไหลออกจากประเทศ 2.14 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2012ซึ่งสูงเป็นสองเท่าของปริมาณการไหลออกในปี 2008 ซึ่งเป็นปีที่เกิดวิกฤติการเงินโลก
ปี 2012 ถือเป็นปีแรกที่จีนมียอดขาดดุลบัญชีทุนนับตั้งแต่ปี 1998 เป็นต้นมา
จีนเผชิญกับเหตุการณ์ดังกล่าวถึงแม้ดำเนินมาตรการควบคุมหยวนอย่างเข้มงวดและธนาคารกลางจีนกังวลว่าการพุ่งขึ้นของปริมาณเงินหยวนในบัญชีต่างประเทศอาจส่งผลให้ต่างชาติลดความต้องการถือครองหยวนลง ถ้าหากเกิดภาวะผันผวนขึ้นในอนาคต
จีนพยายามแก้ไขภาวะนี้ด้วยการสนับสนุนให้ใช้หยวนเป็นสกุลเงินในการชำระเงินสำหรับการค้าข้ามพรมแดน เพื่อให้โลกมีความต้องการใช้หยวนมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ดี นักลงทุนต่างชาติไม่สามารถนำสกุลเงินหยวนที่ตนเองสะสมไว้ในต่างประเทศเข้าไปลงทุนได้อย่างเสรีในจีน และสิ่งนี้ได้กลายเป็นอุปสรรคขัดขวางความพยายามของรัฐบาลจีนในการทำให้หยวนกลายเป็นทางเลือกแทนที่ดอลลาร์ได้อย่างแท้จริง
อดีตเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางจีนอีกรายหนึ่งกล่าวว่า "สิ่งที่สำคัญคือการปรับปรุงช่องทางของต่างชาติในการเข้าสู่ตลาดทุนภายในจีน เพราะถ้าหากไม่มีสิ่งนี้ ก็ไม่มีโอกาสที่หยวนจะกลายเป็นสกุลเงินสำรองได้อย่างแท้จริง"
แหล่งข่าวกล่าวว่า "รัฐบาลจีนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก และผมคิดว่าจะมีการประกาศมาตรการใหม่ออกมาหลังการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ(NPC)" ซึ่งจะเริ่มต้นในวันพรุ่งนี้
จีนจะแต่งตั้งผู้นำรุ่นใหม่ในการประชุม NPC ในครั้งนี้ ซึ่งรวมถึงแต่งตั้งนายสี จิ้นผิงให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจีน และนายหลี่ เค่อเฉียงให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจีน
ขณะนี้การค้ากับจีนราว 12 % ได้รับการชำระเงินโดยใช้สกุลเงินหยวนและสิ่งนี้สร้างแรงกดดันต่อระบบการเงินทั่วโลก
ผู้แทนของธนาคารกลางแห่งหนึ่งในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา19 ประเทศ รวมทั้งสหภาพยุโรป (จี-20) กล่าวว่า "สัดส่วนการค้ากับจีนพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วมากจนส่งผลให้เรื่องนี้กลายเป็นปัญหาสำหรับธนาคารกลางหลายแห่ง"
"มีแนวโน้มว่าจะมีความพยายามที่จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของตลาดเงินหยวน เพื่อจะได้ใช้เป็นหนทางหนึ่งในการระบายหยวนที่สะสมไว้ในต่างประเทศ"
สกุลเงินหยวนที่อยู่ในต่างประเทศส่วนใหญ่ได้รับการเก็บไว้ที่ฮ่องกงและมีเงินฝากหยวนจำนวนมากอยู่ในลอนดอนและสิงคโปร์ด้วยเช่นกัน โดยเมืองสามเมืองนี้เป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และเป็นที่ตั้งของบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่หลายแห่งที่กำลังเข้าซื้อหยวนอย่างรวดเร็วเพื่อทำการค้าข้ามพรมแดน
มีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ที่บ่งชี้ว่า ธนาคารกลางจีนจะปล่อยให้อุปสงค์ในตลาดเข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้นในการกำหนดอัตราความเร็วในการผ่อนคลายกฎควบคุมบัญชีทุน
ผู้ควบคุมกฎระเบียบของจีนได้อนุมัติโครงการนำร่องสำหรับบริษัทบางแห่งอย่างเช่นเชลล์ ไชน่า ในการใช้สกุลเงินตราต่างประเทศส่วนเกินสำหรับความจำเป็นทางธุรกิจ โดยโครงการนี้จะช่วยลดปริมาณเงินสดที่ไม่สามารถนำมาใช้งานและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเงินทุนหมุนเวียน
นายกัว ซูชิง ประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์จีน กล่าวในช่วงปลายปี 2012 ว่า จะมีการเพิ่มโควต้าของสกุลเงินหยวนในต่างประเทศที่สามารถนำมาใช้ลงทุนในตลาดทุนจีน โดยจะปรับขึ้นราว 2 แสนล้านหยวน แต่เขาไม่ได้กล่าวว่าจะปรับเพิ่มขึ้นเมื่อใด
สำนักข่าวซินหัวระบุว่า จะมีการผ่อนคลายกฎในการนำสกุลเงินหยวนในต่างประเทศเข้ามาลงทุนในจีน เพื่อที่นักลงทุนจะได้ไม่มีความจำเป็นต้องถือครองเงินทุน 80 % ในรูปของตราสารหนี้อีกต่อไป
ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ระบุในเดือนก.พ.ว่า ทางธนาคารกลางจะจัดตั้งวงเงินสว็อปกับธนาคารกลางจีนเพื่อสนับสนุนการลงทุนและการค้า และเพื่อใช้วงเงินดังกล่าวในการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน ถ้าหากอุปสงค์ในตลาดส่งผลให้เกิดภาวะขาดแคลนสภาพคล่องหยวนอย่างฉับพลัน
ธนาคารกลางเกาหลีใต้ได้ดำเนินมาตรการที่ไปไกลกว่าธนาคารกลางอังกฤษในเรื่องนี้ โดยธนาคารกลางเกาหลีใต้ได้ทำข้อตกลงในเดือนธ.ค.เพื่อใช้ประโยชน์จากวงเงินสว็อป 5.9 หมื่นล้านดอลลาร์ที่ทำไว้กับธนาคารกลางจีนโดยจะมีการนำสกุลเงินหยวนและวอนในวงเงินดังกล่าวมาปล่อยกู้แก่บริษัทการค้าเพื่อใช้ในการชำระเงิน
เจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยการพัฒนาของจีนกล่าวว่า การรับประกันความราบรื่นในการเคลื่อนย้ายเงินทุนเข้าสู่จีน ถือเป็นประเด็นสำคัญในการกำหนดนโยบาย
"สิ่งที่ผู้นำรุ่นใหม่ให้ความสนใจคือการเคลื่อนย้ายเงินทุนและความเต็มใจของนักลงทุนในการเข้ามาลงทุนในจีน โดยผู้นำรู้ดีว่าตลาดทุนที่มีเสถียรภาพและการเคลื่อนย้ายเงินทุนอย่างมีเสถียรภาพเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจจีน" แหล่งข่าวกล่าว
(ข่าวจากสำนักข่าว รอยเตอร์)
T.Thammasak
นายเหวินยังระบุว่า จีนตั้งเป้าตัวเลขขาดดุลด้านการคลังในปีนี้ที่ 1.2ล้านล้านหยวน (1.928 แสนล้านดอลลาร์) หรือราว 2.0% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เพิ่มขึ้นจากการขาดดุล 8.50 แสนล้านหยวนในปี 2012ซึ่งคิดเป็น 1.6% ของจีดีพี
การใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นและการเร่งอนุมัติโครงการสาธารณูปโภคในช่วงครึ่งหลังของปี 2012 ได้ช่วยสกัดการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 13 ปีที่ 7.8% ในปี 2012 สูงกว่าเล็กน้อยจากเป้าที่ทางการจีนกำหนดไว้ที่ 7.5%
เอกสารที่ออกโดยคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติของจีน(NDRC) ระบุว่า การใช้จ่ายด้านทางรถไฟเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนการใช้จ่ายของภาครัฐ และจีนระบุว่าจะดำเนินการก่อสร้างเส้นทางรถไฟใหม่ระยะทาง5,200 กม.ในปีนี้
ส่วนกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า จะเพิ่มโควต้าการออกพันธบัตรของรัฐบาลท้องถิ่นเป็น 3.50 แสนล้านหยวนในปีนี้ เมื่อเทียบกับ 2.50 แสนล้านหยวนในปี 2012
กระทรวงการคลังยืนยันที่จะเพิ่มความเข้มงวดทางด้านกฏระเบียบด้านหนี้สินของรัฐบาลกลาง และควบคุมกิจกรรมทางการเงินที่ผิดปกติ
รัฐบาลท้องถิ่นของจีนได้ถูกกดดันจากความวิตกเกี่ยวกับหนี้สินเนื่องจากมียอดเงินกู้ 10.7 ล้านล้านหยวนภายในสิ้นปี 2010 โดยได้ทำการกู้ยืมอย่างมากเพื่อใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคตามแผนกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2008 หลังจีนเผชิญกับวิกฤติการเงินโลก
เอกสารระบุว่า "จีนจะเพิ่มขนาดของยอดขาดดุลงบประมาณและการออกพันธบัตรของรัฐบาลเพื่อรับประกันแผนการใช้จ่าย"
กระทรวงการคลังระบุว่า จะขยายโครงการนำร่องในการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มแทนที่ภาษีธุรกิจ
จีนยังระบุว่า จะเพิ่มการใช้จ่ายด้านการทหาร 10.7% ในปีนี้ สู่ 7.406แสนล้านหยวน โดยเพิ่มเติมจากงบประมาณด้านกลาโหมที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 10% ในช่วง20 ปีที่ผ่านมา
รัฐบาลจีนประกาศด้วยว่า งบประมาณด้านการรักษาความมั่นคงภายในประเทศจะเพิ่มขึ้น 8.7% สู่ 7.691 แสนล้านหยวน โดยเพิ่มขึ้นแซงหน้าการใช้จ่ายด้านกลาโหมเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน
ขณะที่ประชาชนทั่วประเทศมีความไม่พอใจมากขึ้นเกี่ยวกับมลภาวะที่ย่ำแย่ลงเอกสารของ NDRC ระบุว่า จีนเร่งที่จะพัฒนาแหล่งพลังงานสะอาด และส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ, พลังนิวเคลียร์และพลังลมรวม 42.24 ล้านกิโลวัตต์ในปีนี้
จีนมีแนวโน้มที่จะผ่อนคลายมาตรการควบคุมการเคลื่อนย้ายเงินทุนโดยจีนอาจจะผ่อนคลายกฎควบคุมการถือครองสกุลเงินหยวนในต่างประเทศซึ่งขณะนี้มีปริมาณราว 1 ล้านล้านหยวน (1.60 แสนล้านดอลลาร์)
ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้หมายความว่า ธนาคารกลางจีน (PBOC) จะยกเลิกการกำหนดตารางเวลาในการเปิดเสรีการเคลื่อนย้ายเงินทุน และจะหันมาใช้มาตรการปฏิรูปในการเปิดเสรีสิ่งนี้แทน โดยมาตรการปฏิรูปนี้จะผูกกับความต้องการของนักลงทุนต่างชาติในการถือครองหยวน และวิธีการแบบนี้จะเป็นการให้เสรีภาพมากยิ่ง
ขึ้นแก่ผู้ที่ต้องการนำเงินฝากหยวนในต่างประเทศเข้ามาลงทุนในจีน
แหล่งข่าวกล่าวว่า ธนาคารกลางจีนเชื่อว่าการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์แบบนี้จะเป็นการปกป้องเศรษฐกิจจีนให้รอดพ้นจากวิกฤติการเงินแบบที่เคยเกิดขึ้นในเอเชียในปี 1997/1998 ในขณะที่การเปิดเสรีอาจจะก่อให้เกิดวิกฤติดังกล่าวอดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงในธนาคารกลางจีนกล่าวว่า "การตอบรับต่ออุปสงค์ของต่างชาติที่มีต่อผลิตภัณฑ์หยวน จะเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการรักษาแรงหนุนสำหรับตลาดทุนและสำหรับการปฏิรูปบัญชีทุน"
อดีตเจ้าหน้าที่รายนี้กล่าวว่า "ธนาคารกลางจีนมีความกังวลเป็นอย่างมากต่อการเปิดบัญชีทุน เพราะเมื่อใดก็ตามที่จีนทำเช่นนั้น จีนก็รู้ดีว่าทุกสิ่งสามารถเกิดขึ้นได้"
"อย่างไรก็ดี นักลงทุนจะถือครองสกุลเงินหยวน ถ้าหากได้รับแรงจูงใจจากตลาดให้ทำเช่นนั้น"
นักลงทุนคาดว่า จีนจะทำให้หยวนกลายเป็นสกุลเงินที่แปลงสภาพได้ภายในปี 2015-2020 และเคยคาดการณ์ในช่วงก่อนหน้านี้ว่าทางการจีนอาจจะกำหนดตารางเวลาในการดำเนินการเรื่องนี้
การใช้วิธีการที่ยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้นในการเปิดเสรีหยวนทำให้จีนมีโอกาสปรับรายละเอียดในนโยบายต่างๆได้มากยิ่งขึ้น โดยจีนอาจจะปรับเพิ่มโควต้าในการนำหยวนในต่างประเทศเข้ามาลงทุนภายในประเทศ, อาจปรับเปลี่ยนกฎการจัดสรรเงินทุนสำหรับการลงทุนภายในประเทศ และอาจขยายช่องทางในการเข้ามามีส่วน
ร่วมในตลาดเงินภายในประเทศ
นายจาง จีเว่ย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีนของธนาคารโนมูระ กล่าวว่า"วิธีการนี้จะเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในจีนได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้มีเงินทุนไหลเข้าประเทศ และช่วยสร้างสมดุลให้แก่เงินทุนที่ไหลออกจากจีนโดยกระแสเงินทุนนี้จะปรับตัวตามปัจจัยในตลาด"
ปัจจุบันนี้บริษัทต่างชาติถือครองสกุลเงินหยวนสูงราว 4 เท่าของปริมาณที่สามารถนำเข้ามาลงทุนในจีน โดยปริมาณการค้าข้ามพรมแดนในรูปสกุลเงินหยวนพุ่งขึ้น 41.3 % สู่ 2.9 ล้านล้านหยวนในปี 2012
อย่างไรก็ดี ธนาคารกลางจีนกังวลว่า เงินทุนอาจจะไหลออกจากประเทศได้อย่างฉับพลัน ถ้าหากจีนยกเลิกกฎเกณฑ์อันเข้มงวดที่ใช้ในการควบคุมหยวนภายในเวลาอันรวดเร็ว
เมื่อพิจารณาจากตัวเลข "เงินร้อน" หรือความเปลี่ยนแปลงของทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่หักลบด้วยยอดส่งออกสุทธิและการลงทุนทางตรงจากต่างชาติ(FDI) จีนก็มียอดเงินร้อนไหลออกจากประเทศ 2.14 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2012ซึ่งสูงเป็นสองเท่าของปริมาณการไหลออกในปี 2008 ซึ่งเป็นปีที่เกิดวิกฤติการเงินโลก
ปี 2012 ถือเป็นปีแรกที่จีนมียอดขาดดุลบัญชีทุนนับตั้งแต่ปี 1998 เป็นต้นมา
จีนเผชิญกับเหตุการณ์ดังกล่าวถึงแม้ดำเนินมาตรการควบคุมหยวนอย่างเข้มงวดและธนาคารกลางจีนกังวลว่าการพุ่งขึ้นของปริมาณเงินหยวนในบัญชีต่างประเทศอาจส่งผลให้ต่างชาติลดความต้องการถือครองหยวนลง ถ้าหากเกิดภาวะผันผวนขึ้นในอนาคต
จีนพยายามแก้ไขภาวะนี้ด้วยการสนับสนุนให้ใช้หยวนเป็นสกุลเงินในการชำระเงินสำหรับการค้าข้ามพรมแดน เพื่อให้โลกมีความต้องการใช้หยวนมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ดี นักลงทุนต่างชาติไม่สามารถนำสกุลเงินหยวนที่ตนเองสะสมไว้ในต่างประเทศเข้าไปลงทุนได้อย่างเสรีในจีน และสิ่งนี้ได้กลายเป็นอุปสรรคขัดขวางความพยายามของรัฐบาลจีนในการทำให้หยวนกลายเป็นทางเลือกแทนที่ดอลลาร์ได้อย่างแท้จริง
อดีตเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางจีนอีกรายหนึ่งกล่าวว่า "สิ่งที่สำคัญคือการปรับปรุงช่องทางของต่างชาติในการเข้าสู่ตลาดทุนภายในจีน เพราะถ้าหากไม่มีสิ่งนี้ ก็ไม่มีโอกาสที่หยวนจะกลายเป็นสกุลเงินสำรองได้อย่างแท้จริง"
แหล่งข่าวกล่าวว่า "รัฐบาลจีนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก และผมคิดว่าจะมีการประกาศมาตรการใหม่ออกมาหลังการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ(NPC)" ซึ่งจะเริ่มต้นในวันพรุ่งนี้
จีนจะแต่งตั้งผู้นำรุ่นใหม่ในการประชุม NPC ในครั้งนี้ ซึ่งรวมถึงแต่งตั้งนายสี จิ้นผิงให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจีน และนายหลี่ เค่อเฉียงให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจีน
ขณะนี้การค้ากับจีนราว 12 % ได้รับการชำระเงินโดยใช้สกุลเงินหยวนและสิ่งนี้สร้างแรงกดดันต่อระบบการเงินทั่วโลก
ผู้แทนของธนาคารกลางแห่งหนึ่งในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา19 ประเทศ รวมทั้งสหภาพยุโรป (จี-20) กล่าวว่า "สัดส่วนการค้ากับจีนพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วมากจนส่งผลให้เรื่องนี้กลายเป็นปัญหาสำหรับธนาคารกลางหลายแห่ง"
"มีแนวโน้มว่าจะมีความพยายามที่จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของตลาดเงินหยวน เพื่อจะได้ใช้เป็นหนทางหนึ่งในการระบายหยวนที่สะสมไว้ในต่างประเทศ"
สกุลเงินหยวนที่อยู่ในต่างประเทศส่วนใหญ่ได้รับการเก็บไว้ที่ฮ่องกงและมีเงินฝากหยวนจำนวนมากอยู่ในลอนดอนและสิงคโปร์ด้วยเช่นกัน โดยเมืองสามเมืองนี้เป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และเป็นที่ตั้งของบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่หลายแห่งที่กำลังเข้าซื้อหยวนอย่างรวดเร็วเพื่อทำการค้าข้ามพรมแดน
มีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ที่บ่งชี้ว่า ธนาคารกลางจีนจะปล่อยให้อุปสงค์ในตลาดเข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้นในการกำหนดอัตราความเร็วในการผ่อนคลายกฎควบคุมบัญชีทุน
ผู้ควบคุมกฎระเบียบของจีนได้อนุมัติโครงการนำร่องสำหรับบริษัทบางแห่งอย่างเช่นเชลล์ ไชน่า ในการใช้สกุลเงินตราต่างประเทศส่วนเกินสำหรับความจำเป็นทางธุรกิจ โดยโครงการนี้จะช่วยลดปริมาณเงินสดที่ไม่สามารถนำมาใช้งานและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเงินทุนหมุนเวียน
นายกัว ซูชิง ประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์จีน กล่าวในช่วงปลายปี 2012 ว่า จะมีการเพิ่มโควต้าของสกุลเงินหยวนในต่างประเทศที่สามารถนำมาใช้ลงทุนในตลาดทุนจีน โดยจะปรับขึ้นราว 2 แสนล้านหยวน แต่เขาไม่ได้กล่าวว่าจะปรับเพิ่มขึ้นเมื่อใด
สำนักข่าวซินหัวระบุว่า จะมีการผ่อนคลายกฎในการนำสกุลเงินหยวนในต่างประเทศเข้ามาลงทุนในจีน เพื่อที่นักลงทุนจะได้ไม่มีความจำเป็นต้องถือครองเงินทุน 80 % ในรูปของตราสารหนี้อีกต่อไป
ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ระบุในเดือนก.พ.ว่า ทางธนาคารกลางจะจัดตั้งวงเงินสว็อปกับธนาคารกลางจีนเพื่อสนับสนุนการลงทุนและการค้า และเพื่อใช้วงเงินดังกล่าวในการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน ถ้าหากอุปสงค์ในตลาดส่งผลให้เกิดภาวะขาดแคลนสภาพคล่องหยวนอย่างฉับพลัน
ธนาคารกลางเกาหลีใต้ได้ดำเนินมาตรการที่ไปไกลกว่าธนาคารกลางอังกฤษในเรื่องนี้ โดยธนาคารกลางเกาหลีใต้ได้ทำข้อตกลงในเดือนธ.ค.เพื่อใช้ประโยชน์จากวงเงินสว็อป 5.9 หมื่นล้านดอลลาร์ที่ทำไว้กับธนาคารกลางจีนโดยจะมีการนำสกุลเงินหยวนและวอนในวงเงินดังกล่าวมาปล่อยกู้แก่บริษัทการค้าเพื่อใช้ในการชำระเงิน
เจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยการพัฒนาของจีนกล่าวว่า การรับประกันความราบรื่นในการเคลื่อนย้ายเงินทุนเข้าสู่จีน ถือเป็นประเด็นสำคัญในการกำหนดนโยบาย
"สิ่งที่ผู้นำรุ่นใหม่ให้ความสนใจคือการเคลื่อนย้ายเงินทุนและความเต็มใจของนักลงทุนในการเข้ามาลงทุนในจีน โดยผู้นำรู้ดีว่าตลาดทุนที่มีเสถียรภาพและการเคลื่อนย้ายเงินทุนอย่างมีเสถียรภาพเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจจีน" แหล่งข่าวกล่าว
(ข่าวจากสำนักข่าว รอยเตอร์)
T.Thammasak