มาถึงตอนนี้คงมีคนที่ไม่อยากเป็นคนธรรมดาจำนวนไม่น้อย ที่ต้องการมุ่งหน้าต่อไปในเส้นทางของการเปลี่ยนแปลงเพื่อพลิกชีวิต โดยมีเป้าหมายสุดท้าย หรือ หลักชัย คือ การมีอิสรภาพทางการเงิน
หลายคนคงเริ่มมีเม็ดเงินเหลือจากรายได้ประจำ หลังจากสามารถจัดการกับภาระการเงินต่างๆจนเริ่มเข้าที่เข้าทาง
ภาระหนี้สินที่เคยสร้างความทุกข์ใจให้ได้ถูกปลดเปลื้องไป มีการสร้าง“เกราะ” ป้องกันตัวเอง โดยมีเงินกองทุนฉุกเฉิน สำรองไว้อย่างน้อย 3-6 เดือนของค่าใช้จ่ายที่จำเป็น
ขณะเดียวกัน มีการวางแผนเพื่อวัยเกษียณ โดยการลงทุนใน กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) หรือ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) และยังมีการลงทุนใน กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund-RMF) และ กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long Term Equity Fund-LTF)
จากนี้ไปเรากำลังจะช่วยกันค้นหาถึงวิธีการสร้างทรัพย์สินให้เพิ่มขึ้น เพื่อความมั่งคั่ง ของแต่ละคน โดยการสร้าง “กองทุนเพื่อความมั่งคั่ง” โดย อาศัยเม็ดเงินที่เพิ่มขึ้นจากรายได้ประจำ ซึ่งมีเคล็ดลับสำคัญ คือ โครงสร้างการหมุนเวียนระหว่าง การออม-ลงทุน-เงินก้อน-ลงทุน-เงินก้อน
บรรดาผู้มีฐานะเข้าขั้นเศรษฐีเกือบทุกคน จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เงินล้านแรกนั้นเป็นอะไรที่ยากลำบากที่สุด แต่เมื่อเราเริ่มมีเงิน 1 ล้านบาทแรกในบัญชี ชื่อผมเถอะครับ เงินล้านที่สอง ล้านที่สาม ก็จะตามมา
คำถามสำคัญก็คือ ในช่วงแรกของการเริ่มลงทุน ที่เรายังไม่มีเงินก้อน เราควรจะเอาเม็ดเงินที่เพิ่มขึ้นของเราไปวางไว้ที่ไหนถึงจะให้ผลตอบแทนได้ดีที่สุด
เพื่อที่จะไปให้ถึงเป้าหมายของคุณ แทนที่จะนำเงินไปออมแบบฝากประจำ ที่ได้ผลตอบแทนจากดอกเบี้ยเงินฝากเพียงน้อยนิด ผมเสนอให้นำรายได้ในส่วนนี้ในแต่ละเดือนไปลงทุนใน “หุ้น” แบบต่อเนื่องในลักษณะ “ฝากประจำ” ทุกๆเดือน ซึ่งก็คือ กลยุทธ์ การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (Dollar Cost Averaging-DCA) ที่ผมเคยแนะนำไว้แล้ว
วิธีนี้นอกจากจะเหมาะกับคนเบี้ยน้อยหอยน้อย แต่อยากลงทุนในหุ้นแล้ว ยังช่วยเฉลี่ยความเสี่ยงของการลงทุนซื้อในช่วงจังหวะที่ไม่เหมาะสม ทำให้ต้นทุนเฉลี่ยของหุ้นที่อยู่ในพอร์ตของเราต่ำลง
เพียงแต่คุณต้องกำหนดแผนการลงทุนในแต่ละเดือนของคุณให้ชัดเจนว่าต้องการซื้อหุ้นอะไรบ้าง และลงทุนเดือนละเท่าไร รวมทั้งกำหนดกรอบเวลาล่วงหน้าเอาไว้ว่า ต้องการจะซื้อต่อเนื่องไปยาวนานแค่ไหน
เทคนิคนี้ผมเคยทดลองใช้เองแล้ว ปรากฏว่ามันได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อ
ในตอนนั้น ภาวะการเงินของผมเริ่มเข้าที่เข้าทาง พอจะมีเงินออมเหลือในแต่ละเดือน ซึ่งถ้าไม่บริหารจัดการให้ดี เงินจำนวนนี้ก็คงละลายหายไปกับรายจ่ายที่ไม่จำเป็น หรือ ถูกแปลงเป็น “สมบัติไร้ค่า” ในที่สุด
โปรแกรม DCA จึงน่าจะเป็นคำตอบที่ดี ในการบังคับให้เกิดการออมควบคู่ไปกับการลงทุนอย่างสม่ำเสมอในหุ้นดีๆที่ผมสนใจ โดยใช้เม็ดเงินไม่มากนักในแต่ละเดือน
1 ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก จากจุดเริ่มต้นในเดือนพฤศจิกายน 2547 ผมใช้เงินออมเดือนละ 25,000 บาท ลงทุนซื้อหุ้น 5 ตัว คือ PTT/ SCC/ EGCO/ BBL และ ADVANC
เมื่อถึงเดือนตุลาคมในปีถัดมา ผมมีหุ้นทั้ง 5 ตัวอยู่ใน Portfolio ของผม โดยมีต้นทุนเฉลี่ยส่วนใหญต่ำกว่า ราคาตลาด ณ เดือน ตุลาคม ปี 2548 ซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายที่ผมเริ่มลงทุนตามโปรแกรมนี้ยกเว้น ADVANC ที่โดนผลกระทบจาก กรณีที่มีการขายหุ้นให้กับสิงคโปร์จนเป็นชนวนเหตุวิกฤติการเมืองในเวลาต่อมา
ในช่วงปลายปี 2548 ต่อเนื่องมาจนถึง ปี 2549 บรรยากาศการเมืองยังคงคุกรุ่น ทำให้ผมตัดสินใจชะลอการลงทุน และตัดสินใจขายหุ้น ADVANC ออกไป คงเหลือเฉพาะ หุ้นอีก 4 ตัว ที่ตัดสินใจ “ ถือยาว” เพื่อรอโอกาส
จนถึงราวเดือนตุลาคม 2550 จากเม็ดเงินที่ลงทุนไปประมาณ 3 แสนบาท ผมตัดสินใจขายหุ้นที่มีอยู่ทั้งหมดออกไป ปรากฏว่าผมได้กำไรจากการลงทุนสูงถึง 168,751.09 บาท โดยมาจาก ส่วนต่างของราคา 137,233.63 บาท และ จากเงินปันผลอีก 31,517.36 บาท คิดเป็นกำไรสูงถึง 56.33%
หลายคนคงสนใจวิธีการลงทุนแบบนี้แล้วใช่ไหมครับ ซึ่งโปรแกรมในลักษณะนี้ก็มีบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งที่เริ่มนำมาใช้แต่ยังไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก แต่ระยะหลังๆบรรดาบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน หรือ บลจ.หลายแห่งก็เริ่มนำมาใช้ในการขยายตลาดการลงทุนในกองทุนรวมเช่นกัน
สำหรับผู้ที่สนใจ คำถามที่หลายคนสงสัยในใจก็คือ หุ้นตัวไหนล่ะที่เราควรซื้อเพื่อลงทุน
วิธีการเลือก “หุ้น”ในดวงใจที่ได้ผลที่สุด ก็คือ เลือกหุ้นที่คุณมีความใกล้ชิดกับมันที่สุด
ใช่ครับ! หากคุณอยู่ในธุรกิจอะไร คุณย่อมมีความรู้เกี่ยวกับวงจรของธุรกิจนั้นเป็นอย่างดี รวมทั้งรู้แนวโน้มความเคลื่อนไหวต่างๆที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ ลองใช้เวลาศึกษาหุ้นในกลุ่มธุรกิจที่คุณใกล้ชิด และเลือกลงทุนในหุ้นที่อยู่ในวงจรขาขึ้นของวัฐจักรเศรษฐกิจแบบในปัจจุบัน ก่อนที่จะเจาะลึกลงไปจนถึงหุ้นรายตัว
หุ้นที่อยู่ในเป้าหมายของผม นอกเหนือจากดูผลประกอบการในอดีต โดยเฉพาะการจ่ายเงินปันผล สิ่งสำคัญไม่แพ้กันคือ ทิศทางและอนาคตของธุรกิจ วิสัยทัศน์ของผู้บริหาร และทีมงานก็เป็นสิ่งสำคัญ ขณะเดียวกันสภาพคล่องของปริมาณหุ้นที่มีการซื้อขายในตลาดก็เป็นอีกปัจจัยที่ควรพิจารณา
คงไม่ต้องถามผมนะครับว่า ทุกวันนี้ผมยังเลือกการลงทุนด้วยวิธีนี้อยู่หรือเปล่า โครงสร้างง่ายๆที่ผมใช้ คือ ใช้โปรแกรม DCA ลงทุนในหุ้นในดวงใจตัวใหม่ๆ ขณะที่นำเงินก้อนที่ได้จากการขายหุ้น DCA ไปวางไว้ในทางเลือกใหม่ๆอย่างอื่นๆที่อาจจะมีความเสี่ยงต่ำลง
อย่างที่บอกละครับ เมื่อคุณมีเงิน 1 ล้านบาทแรกได้แล้ว ล้านที่สอง ล้านที่สาม มันก็จะตามมาเอง
หลายคนคงเริ่มมีเม็ดเงินเหลือจากรายได้ประจำ หลังจากสามารถจัดการกับภาระการเงินต่างๆจนเริ่มเข้าที่เข้าทาง
ภาระหนี้สินที่เคยสร้างความทุกข์ใจให้ได้ถูกปลดเปลื้องไป มีการสร้าง“เกราะ” ป้องกันตัวเอง โดยมีเงินกองทุนฉุกเฉิน สำรองไว้อย่างน้อย 3-6 เดือนของค่าใช้จ่ายที่จำเป็น
ขณะเดียวกัน มีการวางแผนเพื่อวัยเกษียณ โดยการลงทุนใน กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) หรือ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) และยังมีการลงทุนใน กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund-RMF) และ กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long Term Equity Fund-LTF)
จากนี้ไปเรากำลังจะช่วยกันค้นหาถึงวิธีการสร้างทรัพย์สินให้เพิ่มขึ้น เพื่อความมั่งคั่ง ของแต่ละคน โดยการสร้าง “กองทุนเพื่อความมั่งคั่ง” โดย อาศัยเม็ดเงินที่เพิ่มขึ้นจากรายได้ประจำ ซึ่งมีเคล็ดลับสำคัญ คือ โครงสร้างการหมุนเวียนระหว่าง การออม-ลงทุน-เงินก้อน-ลงทุน-เงินก้อน
บรรดาผู้มีฐานะเข้าขั้นเศรษฐีเกือบทุกคน จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เงินล้านแรกนั้นเป็นอะไรที่ยากลำบากที่สุด แต่เมื่อเราเริ่มมีเงิน 1 ล้านบาทแรกในบัญชี ชื่อผมเถอะครับ เงินล้านที่สอง ล้านที่สาม ก็จะตามมา
คำถามสำคัญก็คือ ในช่วงแรกของการเริ่มลงทุน ที่เรายังไม่มีเงินก้อน เราควรจะเอาเม็ดเงินที่เพิ่มขึ้นของเราไปวางไว้ที่ไหนถึงจะให้ผลตอบแทนได้ดีที่สุด
เพื่อที่จะไปให้ถึงเป้าหมายของคุณ แทนที่จะนำเงินไปออมแบบฝากประจำ ที่ได้ผลตอบแทนจากดอกเบี้ยเงินฝากเพียงน้อยนิด ผมเสนอให้นำรายได้ในส่วนนี้ในแต่ละเดือนไปลงทุนใน “หุ้น” แบบต่อเนื่องในลักษณะ “ฝากประจำ” ทุกๆเดือน ซึ่งก็คือ กลยุทธ์ การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (Dollar Cost Averaging-DCA) ที่ผมเคยแนะนำไว้แล้ว
วิธีนี้นอกจากจะเหมาะกับคนเบี้ยน้อยหอยน้อย แต่อยากลงทุนในหุ้นแล้ว ยังช่วยเฉลี่ยความเสี่ยงของการลงทุนซื้อในช่วงจังหวะที่ไม่เหมาะสม ทำให้ต้นทุนเฉลี่ยของหุ้นที่อยู่ในพอร์ตของเราต่ำลง
เพียงแต่คุณต้องกำหนดแผนการลงทุนในแต่ละเดือนของคุณให้ชัดเจนว่าต้องการซื้อหุ้นอะไรบ้าง และลงทุนเดือนละเท่าไร รวมทั้งกำหนดกรอบเวลาล่วงหน้าเอาไว้ว่า ต้องการจะซื้อต่อเนื่องไปยาวนานแค่ไหน
เทคนิคนี้ผมเคยทดลองใช้เองแล้ว ปรากฏว่ามันได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อ
ในตอนนั้น ภาวะการเงินของผมเริ่มเข้าที่เข้าทาง พอจะมีเงินออมเหลือในแต่ละเดือน ซึ่งถ้าไม่บริหารจัดการให้ดี เงินจำนวนนี้ก็คงละลายหายไปกับรายจ่ายที่ไม่จำเป็น หรือ ถูกแปลงเป็น “สมบัติไร้ค่า” ในที่สุด
โปรแกรม DCA จึงน่าจะเป็นคำตอบที่ดี ในการบังคับให้เกิดการออมควบคู่ไปกับการลงทุนอย่างสม่ำเสมอในหุ้นดีๆที่ผมสนใจ โดยใช้เม็ดเงินไม่มากนักในแต่ละเดือน
1 ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก จากจุดเริ่มต้นในเดือนพฤศจิกายน 2547 ผมใช้เงินออมเดือนละ 25,000 บาท ลงทุนซื้อหุ้น 5 ตัว คือ PTT/ SCC/ EGCO/ BBL และ ADVANC
เมื่อถึงเดือนตุลาคมในปีถัดมา ผมมีหุ้นทั้ง 5 ตัวอยู่ใน Portfolio ของผม โดยมีต้นทุนเฉลี่ยส่วนใหญต่ำกว่า ราคาตลาด ณ เดือน ตุลาคม ปี 2548 ซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายที่ผมเริ่มลงทุนตามโปรแกรมนี้ยกเว้น ADVANC ที่โดนผลกระทบจาก กรณีที่มีการขายหุ้นให้กับสิงคโปร์จนเป็นชนวนเหตุวิกฤติการเมืองในเวลาต่อมา
ในช่วงปลายปี 2548 ต่อเนื่องมาจนถึง ปี 2549 บรรยากาศการเมืองยังคงคุกรุ่น ทำให้ผมตัดสินใจชะลอการลงทุน และตัดสินใจขายหุ้น ADVANC ออกไป คงเหลือเฉพาะ หุ้นอีก 4 ตัว ที่ตัดสินใจ “ ถือยาว” เพื่อรอโอกาส
จนถึงราวเดือนตุลาคม 2550 จากเม็ดเงินที่ลงทุนไปประมาณ 3 แสนบาท ผมตัดสินใจขายหุ้นที่มีอยู่ทั้งหมดออกไป ปรากฏว่าผมได้กำไรจากการลงทุนสูงถึง 168,751.09 บาท โดยมาจาก ส่วนต่างของราคา 137,233.63 บาท และ จากเงินปันผลอีก 31,517.36 บาท คิดเป็นกำไรสูงถึง 56.33%
หลายคนคงสนใจวิธีการลงทุนแบบนี้แล้วใช่ไหมครับ ซึ่งโปรแกรมในลักษณะนี้ก็มีบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งที่เริ่มนำมาใช้แต่ยังไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก แต่ระยะหลังๆบรรดาบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน หรือ บลจ.หลายแห่งก็เริ่มนำมาใช้ในการขยายตลาดการลงทุนในกองทุนรวมเช่นกัน
สำหรับผู้ที่สนใจ คำถามที่หลายคนสงสัยในใจก็คือ หุ้นตัวไหนล่ะที่เราควรซื้อเพื่อลงทุน
วิธีการเลือก “หุ้น”ในดวงใจที่ได้ผลที่สุด ก็คือ เลือกหุ้นที่คุณมีความใกล้ชิดกับมันที่สุด
ใช่ครับ! หากคุณอยู่ในธุรกิจอะไร คุณย่อมมีความรู้เกี่ยวกับวงจรของธุรกิจนั้นเป็นอย่างดี รวมทั้งรู้แนวโน้มความเคลื่อนไหวต่างๆที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ ลองใช้เวลาศึกษาหุ้นในกลุ่มธุรกิจที่คุณใกล้ชิด และเลือกลงทุนในหุ้นที่อยู่ในวงจรขาขึ้นของวัฐจักรเศรษฐกิจแบบในปัจจุบัน ก่อนที่จะเจาะลึกลงไปจนถึงหุ้นรายตัว
หุ้นที่อยู่ในเป้าหมายของผม นอกเหนือจากดูผลประกอบการในอดีต โดยเฉพาะการจ่ายเงินปันผล สิ่งสำคัญไม่แพ้กันคือ ทิศทางและอนาคตของธุรกิจ วิสัยทัศน์ของผู้บริหาร และทีมงานก็เป็นสิ่งสำคัญ ขณะเดียวกันสภาพคล่องของปริมาณหุ้นที่มีการซื้อขายในตลาดก็เป็นอีกปัจจัยที่ควรพิจารณา
คงไม่ต้องถามผมนะครับว่า ทุกวันนี้ผมยังเลือกการลงทุนด้วยวิธีนี้อยู่หรือเปล่า โครงสร้างง่ายๆที่ผมใช้ คือ ใช้โปรแกรม DCA ลงทุนในหุ้นในดวงใจตัวใหม่ๆ ขณะที่นำเงินก้อนที่ได้จากการขายหุ้น DCA ไปวางไว้ในทางเลือกใหม่ๆอย่างอื่นๆที่อาจจะมีความเสี่ยงต่ำลง
อย่างที่บอกละครับ เมื่อคุณมีเงิน 1 ล้านบาทแรกได้แล้ว ล้านที่สอง ล้านที่สาม มันก็จะตามมาเอง