xs
xsm
sm
md
lg

“มาม่า” หั่นกำไรตรึงราคา ชูฐานผลิต “ภูฏาน-กานา”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“มาม่า” กัดฟันสู้ ตรึงราคาทั้งปียอมแบกต้นทุนที่เพิ่มขึ้น พร้อมดิ้นหารายได้ทดแทนตลาดบะหมี่ซองอิ่มตัว รุกฐานผลิตต่างประเทศชูกานารุกแอฟริกา และภูฏานรุกอินเดีย ยอมรับปีนี้กำไรลดลง 50%

นายพิพัฒ พะเนียงเวทย์ ประธานกรรมการ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) หรือทีเอฟ เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทจะไม่ขึ้นราคาขายมาม่าอย่างแน่นอน จะยืนยันราคาเดิม แม้ว่าต้นทุนการผลิตขณะนี้จะสูงขึ้นอย่างน้อย 15% ก็ตาม โดยเฉพาะขณะนี้แป้งสาลีราคา 360 บาทต่อกระสอบขนาด 22.5 กิโลกรัม จากปีที่แล้วราคา 330 บาท  ส่วนน้ำมันปาล์มราคาสูงขึ้น 10% จากปีที่แล้วเฉลี่ย 30 บาทต่อกิโลกรัม

โดยบริษัทแก้ไขด้วยวิธีการเจรจาซื้อวัตถุดิบหลักๆ ล่วงหน้าไว้ก่อนนาน 6 เดือน-1 ปี จากปกติที่ซื้อเฉลี่ย 2-3 เดือนเท่านั้น ซึ่งมาม่าขึ้นราคาล่าสุดเมื่อ 5 ปีที่แล้ว จาก 5 บาทต่อซองเป็น 6 บาทต่อซอง

ทั้งนี้จะส่งผลให้ผลประกอบการปีนี้คาดว่าจะมีกำไรประมาณ 700 ล้านบาท ลดลงจากเดิมปีที่แล้วที่มีกำไรสูงที่สุดที่เคยทำมาถึง 1,253 ล้านบาท เนื่องจากปีนี้ลงทุนมากและต้องพยายามตรึงราคาขายเอาไว้ ขณะที่รายได้รวมปีนี้คาดว่าจะเติบโต 10% ซึ่งปีที่แล้วมีรายได้รวม 10,000 ล้านบาท เป็นรายได้จากการส่งออก 20% 

อย่างไรก็ตาม แผนการลงทุนปีนี้ทั้งในและต่างประเทศยังมีต่อเนื่องเพื่อสร้างการเติบโตขององค์กร โดยเฉพาะการที่ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในไทยที่อิ่มตัวแล้วจำเป็นต้องสร้างมูลค่าเพิ่มและขยายไลน์สินค้าใหม่ๆ เพื่อสร้างการเติบโต ซึ่งปีนี้จะลงทุนรวม 369 ล้านบาท 1. เปลี่ยนเครื่องจักรบะหมี่ฯ แบบซองทดแทนเครื่องเก่า 2 เครื่อง 369 ล้านบาท

2. ลงทุนเครื่องจักรใหม่ผลิตบะหมี่มาม่าคัพ 1 เครื่อง 135 ล้านบาท เพิ่มกำลังผลิต 20% ปัจจุบันมีกำลังผลิตรวม 3 โรงงาน 5.4 ล้านซองต่อวัน และ 1 ล้านคัพต่อวัน หรือสัดส่วนแบบซอง 84% แบบคัพ 16% และ 3. ลงทุน 74 ล้านบาทซื้อเครื่องจักรผลิตเวเฟอร์ บิสชิน ใหม่ เพิ่มกำลังผลิตเป็น 2 เท่า จากปัจจุบันกำลังผลิตรวม 44.3 ตันต่อวัน  
ส่วนโครงการร่วมทุนกับบริษัท เคอรี่ฟลาวมิลล์ จำกัด ตั้งบริษัท เพรซิเดนท์ฟลาวมิลล์ ทุนจดทะเบียน 600 ล้านบาทผลิตแป้งสาลีจำหน่ายที่จังหวัดระยอง คาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องผลิตได้ปลายปีนี้

“ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในไทยมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 13,000 ล้านบาทเมื่อปีที่แล้ว เชิงมูลค่าเติบโต 3% ต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี โดยเฉพาะบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบซองค่อนข้างอิ่มตัวติดลบ 3% ส่วนรูปแบบถ้วยขยายตัวเชิงมูลค่า 20% จากสัดส่วนตลาดรูปแบบซอง 75% รูปแบบคัพ 25%”

ด้านแผนลงทุนต่างประเทศ ขณะนี้ให้ความสนใจไปที่ประเทศภูฏานกับประเทศกานา โดยที่ภูฏานนั้นเซ็นสัญญากับกลุ่มทุนรายใหญ่ของภูฏานที่มีธุรกิจหลากหลายทั้งโรงแรม สายการบิน  ธนาคาร เหมืองแร่ เป็นต้น และเป็นกลุ่มธุรกิจที่เสียภาษีมากที่สุดในภูฏานด้วย เพื่อตั้งบริษัทร่วมทุนด้วยทุนจดทะเบียน 8 ล้านเหรียญสหรัฐ  ลงทุนประมาณ 250 ล้านบาท มีกำลังผลิตประมาณ 300-400 ซองต่อนาที

“เป้าหมายการลงที่ภูฏานเพราะต้องการใช้เป็นฐานผลิตในการรุกตลาดประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่มีประชากรมากกว่า 200 ล้านคน แต่มีรายใหญ่ทำตลาดบะหมี่กึ่งฯ เพียงรายเดียวคือแบรนด์แม็กกี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ทีเอฟเคยมีแผนที่จะตั้งโรงงานในอินเดียเช่นกันแต่ล้มเลิกไปแล้ว”

อีกประเทศคือที่ กานา จดทะเบียนตั้งบริษัทแล้ว อยู่ระหว่างเตรียมการ ซึ่งทีเอฟจะเป็นบริษัทเอกชนไทยรายแรกที่เข้าไปลงทุนในกานา โดยไทยจะถือหุ้น 60% (ทีเอฟ 51% และสหหัฒน์ 9%)  และกานา 40% อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นกานาจะถือหุ้น 25% ก่อน และหากมั่นใจว่าธุรกิจไปได้ดีก็สามารถเข้ามาถือหุ้นเต็ม 40% ได้ ซึ่งทีเอฟจะใช้กานาเป็นฐานผลิตเพื่อรุกตลาดแอฟริกาใต้

ก่อนนี้ทีเอฟมีการลงทุนในประเทศพม่าแล้วตั้งแต่ปี 2546  ซึ่งปีที่แล้วมีรายได้ 481 ล้านบาท เติบโต 26.8% กำไร 8.5% ขณะที่ในเขมรเปิดดำเนินการตั้งแต่ปี 2545 ซึ่งปีที่แล้วมียอดรายได้ 250 ล้านบาท กำไร 5.2%  ส่วนที่ประเทศบังกลาเทศเริ่มมาตั้งแต่ปี 2555 ร่วมทุนกับกลุ่มสหกรุ๊ปกับกลุ่ม KALLOL ตั้งบริษัท KALLOL Thai President Foods ทุนจดทะเบียน 220 ล้านบาท ผลิตและขายมาม่า กำลังผลิต 20 ล้านซองต่อปี คาดว่าจะทำเริ่มทำตลาดได้เดือนมกราคมนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น