xs
xsm
sm
md
lg

Good Morning News 23/01/56

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

General News

  • องค์การแรงงานระหว่างประเทศ เตือนว่า แม้ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกจะผ่านมานานถึง 5 ปีแล้ว แต่คาดว่า ตัวเลขคนว่างงานในปีนี้จะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 5.1 ล้านคน ทำให้สถิติคนว่างงานทั่วโลกพุ่งสูงกว่า 202 ล้านคน สูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากการที่รัฐบาลของประเทศต่างๆ พากันใช้นโยบายการเงินและงบประมาณที่ไม่สอดคล้อง ทั้งยังแก้ปัญหาอย่างไม่เป็นระบบ และจากมาตรการรัดเข็มขัดของหลายประเทศที่ใช้วิธีปลดหรือตัดเงินเดือนพนักงาน


  • คลังยูโรโซนอนุมัติเงินกู้งวดใหม่วงเงิน 9.2 พันล้านยูโรให้กรีซ ซึ่งจะได้รับในเดือนนี้ โดยแบ่งเป็นเงินที่จะใช้ชำระหนี้พันธบัตรรัฐบาล 7.2 พันล้านยูโร และอีก 2.0 พันล้านยูโรจะใช้เป็นงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาล


  • ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจยุโรป เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุนและนักวิเคราะห์ในเยอรมนีที่มีต่อสภาพเศรษฐกิจในอีก 6 เดือนข้างหน้าปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 31.5 ในเดือน ม.ค. จาก 6.9 ในเดือน ธ.ค.  เป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกันที่ดัชนีอยู่ในแดนบวก และสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์


  • ส.สถิติแห่งชาติอังกฤษ เปิดเผยว่า ยอดขาดดุลงบประมาณเดือน ธ.ค.อยู่ที่ 1.54 หมื่นล้านปอนด์ เมื่อเทียบกับระดับ 1.48 หมื่นล้านปอนด์ในปีก่อนหน้า เนื่องจากการใช้จ่ายของรัฐบาลพุ่งสูงขึ้น ประกอบกับเศรษฐกิจที่อ่อนแอของประเทศได้ส่งผลกระทบต่อผลกำไรของบริษัทต่างๆ


  • ยูกอฟ รายงานผลสำรวจล่าสุดของว่า ชาวอังกฤษที่ต้องการอยู่กับสหภาพยุโรป (EU) ต่อไปได้เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ อย่างน่าตกใจ เพราะมีผู้อยากอยู่ต่อจำนวนมากกว่าผู้ที่ไม่อยากอยู่ต่อเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ เดวิด คาเมรอน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี


  • ธ.กลางญี่ปุ่น เพิ่มเป้าเงินเฟ้อเป็น 2% และเพิ่มเม็ดเงินในโครงการเข้าซื้อสินทรัพย์ โดยจะเข้าซื้อสินทรัพย์เดือนละ 13 ล้านล้านเยน ตั้งแต่เดือน ม.ค.นี้เป็นต้นไป นอกจากนี้ จะเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น 2 ล้านล้านเยน และพันธบัตรคลัง 10 ล้านล้านเยน อีกด้วยยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ประกาศว่า GDP ปีนี้จะอยู่ที่ 5.5% โดยมีอัตราเงินเฟ้อ 3%  ซึ่งถือว่าเป็นภาวะปกติโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องช่วยกันดูแลไม่ให้เงินเฟ้อเพิ่มมากไปกว่านี้ และหนี้สาธารณะจะอยู่ที่ 43.9% ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีกว่าหลายประเทศในภูมิภาค


  • ผู้ว่าการ ธปท.เปิดเผยว่า ยังคงติดตามการเคลื่อนไหวของเงินบาทซึ่งอาจเข้าไปจัดการบ้าง แต่โดยรวมแล้วบาทยังเคลื่อนไหวสอดคล้องกับเศรษฐกิจและค่าเงินในภูมิภาค โดยยืนยันว่า ธปท.มีเครื่องมือดูแลเพียงพอและไม่ลังเลที่จะนำมาใช้เมื่อจะต้องใช้


Equity Market

  • SET Index ปิดตลาดที่ 1,434.09 จุด ลดลง 6.39 จุด หรือ -0.44% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 55,107.90 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 777.43 ล้านบาท ทั้งนี้ ดัชนีเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาค ซึ่งมีแรงขายทำกำไรหลังจากธนาคารกลางญี่ปุ่นมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาตามคาด


  • กบข. ตั้งเป้าผลตอบแทนจากการลงทุนในปีนี้ให้ชนะเงินเฟ้อที่คาดว่าจะเป็น 3% พร้อมเตรียมแก้ไขข้อจำกัดการไปลงทุนในต่างประเทศ เพื่อหาผลตอบแทนเพิ่ม


Fix income market

  • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเปลี่ยนแปลงในช่วงระหว่าง -0.01 ถึง +0.04% โดยพันธบัตรรัฐบาลอายุต่ำกว่า 3 เดือน เปลี่ยนแปลง -0.01% ในขณะที่พันธบัตรรัฐบาลอายุมากกว่า 2 ปี เปลี่ยนแปลง +0.01 ถึง +0.04%


Gold Corner

  • อินเดียขึ้นภาษีนำเข้าทอง 2 % สู่ 6 % เพื่อจำกัดการซื้อทอง และควบคุมยอดขาดดุลงบประมาณที่พุ่งสูง อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์คาดว่าอุปสงค์ทองในอินเดียอาจลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะอุปสงค์ทองได้รับแรงหนุนจากอัตราเงินเฟ้อที่ระดับสูง


  • ธ.กลางเยอรมนี ประกาศแผนดึงทองคำสำรองปริมาณมหาศาลถึง 674 ตัน กลับมาไว้ในประเทศ โดยจะถอนออกจาก FED สาขานิวยอร์ก 300 ตัน และถอนจากธนาคารกลางฝรั่งเศสในกรุงปารีส 374 ตัน รวมมูลค่าสูงถึง 36,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.07 ล้านล้านบาท) คิดเป็นกว่า 1/ 5 ของทองคำสำรองทั้งหมดของเยอรมนี โดย โมริตซ์ เอากุสต์ ราช โฆษกของบุนเดสบังก์ (ธนาคารกลางเยอรมนี) ระบุว่า จำเป็นต้องถอนกลับคืนมาด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณชน แต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะจำเป็นต้องปกป้องทองคำของเยอรมนีเอาไว้


นับเป็นการโยกย้ายทองคำระหว่างประเทศครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์โลก หลังจาก รัฐบาล  เยอรมนีในอดีตโดยเฉพาะตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ต่างมีนโยบายนำทองคำของตนไปฝากไว้ในต่างแดน เพื่อกระจายความเสี่ยงจากสถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศที่ตึงเครียดในยุคสงครามเย็น เนื่องจากเกรงว่าทองคำของตนจะถูกสหภาพโซเวียตยึดครอง
ฮันเดิลสบลัตต์ รายงานว่า ขณะนี้ทองคำของเยอรมนี 45% ฝากอยู่กับ FED ขณะที่อีก   13% และ 11% อยู่กับธนาคารกลางอังกฤษและฝรั่งเศส เหลือเพียงแค่ 31% เท่านั้นที่เก็บไว้ในสำนักงานใหญ่ของบุนเดสบังก์ในนครแฟรงก์เฟิร์ต โดยทองคำทั้งหมดที่ฝากไว้ในฝรั่งเศสจะเป็นส่วนแรกที่รัฐบาลเยอรมนีต้องดึงกลับมาไว้ในประเทศ ขณะส่วนที่ฝากไว้ในอังกฤษและสหรัฐยังจำเป็นต้องคงอยู่ตามเดิมต่อไปก่อนอีกระยะหนึ่งเพื่อรองรับการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ ธนาคารกลางเยอรมนี ถือครองทองคำสำรองรายใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลกรองจากสหรัฐ โดยมีปริมาณทองคำในความครอบครองกว่า 3,396.3 ตันเมื่อสิ้นปี 2554 คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 133,000 ล้านยูโร (ราว5. ล้านล้านบาท) และเคยถอนทองคำล็อตใหญ่ปริมาณกว่า 850 ตัน ที่ฝากไว้ในธนาคารกลางของอังกฤษมาแล้วเช่นกันในช่วงปีค.ศ.1998-2001 ท่ามกลางข่าวลือในขณะนั้นว่าวิกฤตเศรษฐกิจในเอเชียที่เริ่มต้นในประเทศไทยเมื่อปี1997 อาจลามมาถึงยุโรป (ข้อมูลจาก ASTV ผู้จัดการออนไลน์)
กำลังโหลดความคิดเห็น