เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์- ธนาคารกลางเยอรมนี (Deutsche Bundesbank) ประกาศเดินหน้าแผนดึงทองคำสำรองปริมาณมหาศาลกลับมาไว้ในประเทศ ถือเป็นการ “ยืนยันความถูกต้อง” ของรายงานข่าวก่อนหน้านี้ที่มีการเผยแพร่โดยหนังสือพิมพ์ด้านธุรกิจและการเงินรายวัน “ฮันเดิลสบลัตต์” เมื่อวันที่ 15 มกราคมที่ผ่านมา
รายงานข่าวล่าสุดเมื่อวันจันทร์ (21) จากนครแฟรงก์เฟิร์ต ซึ่งอ้างโมริตซ์ เอากุสต์ ราช โฆษกของ บุนเดสบังก์ ระบุว่า เยอรมนีจำเป็นต้องถอนทองคำสำรองที่ฝากไว้ในต่างประเทศกลับคืนมาด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง
“ผมขอยืนยันว่า เรามีความจำเป็นต้องนำทองคำของเยอรมนีกลับประเทศ ด้วยเหตุผลหลายประการด้านความมั่นคง ซึ่งเป็นเหตุผลที่เราไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณชนได้ แต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราจำเป็นต้องปกป้องทองคำของเรา และยังต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการถอนทองคำกลับประเทศครั้งนี้” โฆษกธนาคารกลางเยอรมนีกล่าว
ท่าทีล่าสุดของโฆษกบุนเดสบังก์มีขึ้นเพียงไม่ถึง 24 ชั่วโมงหลังจาก “ดีทรอยต์ ฟรี เพรสส์” หนังสือพิมพ์รายวันเก่าแก่ในมลรัฐมิชิแกนของสหรัฐฯ ที่มียอดจำหน่ายกว่าวันละ 234,580 ฉบับ ตีพิมพ์รายงานข่าวที่ระบุว่า ธนาคารกลางเยอรมนี เตรียมเดินหน้าแผนการถอนทองคำของตนชุดแรก ที่มีปริมาณมหาศาลถึง 674 ตันจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขานิวยอร์ก รวมถึง ที่ตั้งธนาคารกลางฝรั่งเศสในกรุงปารีส เพื่อนำทองคำจำนวนดังกล่าวกลับมาเก็บไว้ภายในที่ทำการของบุนเดสบังก์ในนครแฟรงก์เฟิร์ต
โดยในจำนวนทองคำ 674 ตันของเยอรมนีที่จะถูกถอนกลับประเทศครั้งนี้ คิดเป็นทองคำที่ฝากไว้ในมหานครนิวยอร์กของสหรัฐฯ 300 ตัน ส่วนอีก 374 ตันที่เหลือเป็นทองคำที่ฝากไว้กับธนาคารกลางฝรั่งเศส และทองคำล็อตนี้ที่เยอรมนีจะดึงกลับประเทศมีมูลค่าสูงถึง 36,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1.07 ล้านล้านบาท) หรือคิดเป็นกว่า 1 ใน 5 ของทองคำสำรองทั้งหมดของเยอรมนี
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 15 มกราคมที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์รายวัน “ฮันเดิลสบลัตต์” ของเยอรมนีรายงานว่า บุนเดสบังก์มีแผนนำทองคำของตนจำนวนมากที่ฝากไว้ในประเทศอื่น ทั้งในสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศสและสหรัฐฯ กลับประเทศเร็วๆ นี้เพื่อความมั่นคงทางการคลัง โดยระบุถือเป็นหนึ่งในการโยกย้ายทองคำระหว่างประเทศครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก หลังจากรัฐบาลเยอรมนีในอดีตโดยเฉพาะตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมาต่างมีนโยบายนำทองคำของตนไปฝากไว้ในต่างแดนเพื่อกระจายความเสี่ยงจากสถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศที่ตึงเครียดในยุค “สงครามเย็น” เนื่องจากรัฐบาลเยอรมนีในเวลานั้นเกรงว่า ทองคำของตน จะถูกสหภาพโซเวียตยึดครองเข้าสักวันหนึ่ง
ตามข้อมูลที่สื่อดังอย่าง “ฮันเดิลสบลัตต์” รายงาน ระบุว่า ขณะนี้ 45 เปอร์เซ็นต์ของทองคำของเยอรมนีถูกนำไปฝากไว้ในธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ขณะที่อีก 13 เปอร์เซ็นต์ และ 11 เปอร์เซ็นต์ ถูกนำไปเก็บไว้ในธนาคารกลางของอังกฤษ และธนาคารกลางฝรั่งเศสตามลำดับ ส่งผลให้มีปริมาณทองคำเพียงแค่ 31 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ถูกเก็บไว้ภายในสำนักงานใหญ่ของบุนเดสบังก์ หรือธนาคารกลางเยอรมนี ในนครแฟรงก์เฟิร์ต
รายงานข่าวยังระบุว่า ทองคำของเยอรมนีทั้งหมดที่นำไปฝากไว้ในฝรั่งเศส จะเป็นทองคำส่วนแรกที่รัฐบาลเยอรมนีต้องดึงกลับมาไว้ในประเทศ ขณะที่ทองคำบางส่วนที่ฝากไว้ในอังกฤษ และสหรัฐฯ ยังจำเป็นต้องคงอยู่ตามเดิมต่อไปก่อนอีกระยะหนึ่ง เพื่อรองรับการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ ธนาคารกลางเยอรมนีได้ชื่อว่าเป็นผู้ถือครองทองคำสำรองรายใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลก รองจากสหรัฐฯ โดยปริมาณทองคำในความครอบครองของบุนเดสบังก์นั้นมีกว่า 3,396.3 ตันเมื่อสิ้นปี 2011 หรือคิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 133,000 ล้านยูโร (ราว 5.3 ล้านล้านบาท)
ก่อนหน้านี้ ในช่วงปี ค.ศ.1998-2001 มีข้อมูลว่า ธนาคารกลางของเยอรมนีได้เคยถอนทองคำล็อตใหญ่ปริมาณกว่า 850 ตันที่ฝากไว้ในธนาคารกลางของอังกฤษในกรุงลอนดอนมาแล้วเช่นกัน ท่ามกลางข่าวลือในขณะนั้นว่า วิกฤตเศรษฐกิจในเอเชียที่เริ่มต้นในประเทศไทยเมื่อปี 1997 อาจลุกลามมาถึงยุโรป