พลังงานชง “กพช.” เร็วๆ นี้ต่ออายุมาตรการตรึงราคาแอลพีจีออกไปอีก 2-3 เดือนหลังยังต้องรอชัดเจนมาตรการดูแลผลกระทบประชาชนผู้มีรายได้น้อย “พงษ์ศักดิ์” รับ ก.พ.นี้คงขึ้นไม่ทันตามแผน พร้อมชงแผนส่งเสริมเกษตรกรปลูกหญ้าเลี้ยงช้างป้อนโรงไฟฟ้าชุมชน ประกาศราคารับซื้อ 300 บาทต่อตัน หวังดึงพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังส่วนหนึ่งมาปลูกแทนแก้ปัญหาราคามันตกต่ำในระยะยาว
นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเร็วๆ นี้กระทรวงพลังงานเตรียมจะเสนอเลื่อนมาตรการตรึงราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ออกไปอีกอย่างต่ำ 2-3 เดือนหลังจากมาตรการได้สิ้นสุดลงเมื่อสิ้น ธ.ค. 55 ที่ผ่านมาเนื่องจากจะต้องรอมาตรการลดผลกระทบต่อประชาชนผู้มีรายได้ต่ำก่อน
“เดิมการปรับโครงสร้างราคาแอลพีจีครัวเรือน และขนส่งนั้น คิดว่าจะประกาศได้ในช่วง ก.พ.นี้ แต่ทางสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน หรือ สนพ.ได้จ้างมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตทำการสำรวจจำนวนผู้มีรายได้ต่ำ แม่ค้าหาบเร่เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนก่อน ซึ่งคิดว่า ก.พ.นี้ไม่น่าจะทันแต่จะเป็นเมื่อใดคงตอบไม่ได้ต้องรอก่อนแต่นโยบายรัฐยืนยันจะดูแลประชาชนกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 90 หน่วยที่คาดว่าจะครอบคลุม 8.3 ล้านราย ร้านค้าอีกอย่างน้อย 5 แสนราย” นายพงษ์ศักดิ์กล่าว
นอกจากนี้ยังจะเสนอ กพช.เห็นชอบการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าชุมชนโดยใช้หญ้าเลี้ยงช้างเป็นพืชพลังงานต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเพื่อให้เกิดการบูรณาการในการส่งเสริมการปลูก เทคโนโลยี และการจัดโซนนิ่ง ซึ่งจะถือเป็นพืชพลังงานใหม่ที่จะสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรในอนาคตเนื่องจากจะมีกำหนดราคารับซื้อ 300 บาทต่อตัน (ไม่รวมค่าขนส่ง ค่าตัด)
“หลังจากล่าสุดได้เดินทางไปดูการปลูกหญ้าเลี้ยงช้างหรือหญ้าเนเปียร์ปากช่อง 1 ซึ่งถือเป็นพื้นที่ปลูกใหญ่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่เป็นโครงการนำร่องที่อำเภอปากช่อง จ.นครราชสีมา ถือเป็นโครงการที่มีศักยภาพเพราะหญ้าชนิดดังกล่าวโตเร็วเหมาะที่จะส่งเสริมนำมาผลิตเป็นพลังงานทดแทนที่เป็นเป้าหมายของกระทรวงในระยะยาวเพื่อทดแทนการใช้ก๊าซ ไฟฟ้ารวมไปถึง แอลพีจีได้สูงสุด เมื่อ กพช.อนุมัติหลักการก็จะประกาศเงื่อนไขที่จะส่งสัญญาณไปยังเกษตรกรต่างๆ ต่อไป” นายพงษ์ศักดิ์กล่าว
สำหรับรูปแบบการร่วมทุนเบื้องต้นจะเป็นการส่งเสริมให้เกิดโรงไฟฟ้าชุมชนที่ใช้หญ้าเนเปียร์เป็นเชื้อเพลิงที่ เอกชนจะร่วมทุนกับชุมชนสัดส่วน 60-40% หรือเอกชนอาจลงทุน 100% แต่ต้องมีการทำสัญญารับซื้อหญ้าเพื่อป้องกันไม่ให้เกษตรกรปลูกหญ้าแล้วไม่มีแหล่งจำหน่าย ซึ่งปัจจุบันหญ้าดังกล่าวเฉลี่ยจะมีผลผลิต 70-80 ตันต่อไร่ต่อปี และหากรับซื้อ 300 บาทต่อตันจะทำให้เฉลี่ยเกษตรกรมีรายได้ 1.8-2.4 หมื่นบาทต่อไร่ โดยส่วนหนึ่งคาดว่าจะสามารถนำพื้นที่ขยายปลูกมันสำปะหลังมาส่งเสริมได้เพื่อแก้ไขปัญหาราคามันสำปะหลังตกต่ำ ซึ่งการรับซื้อไฟจากโครงการนี้ตามระบบ feed in tariff จะอยู่ที่ประมาณ 4.50 บาทต่อหน่วย